BLOG
บทความ
ทุกคนมีอาหารที่ตอนแรกไม่ชอบกิน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นชอบไหมคะ
ส่วนตัวฉันแล้วเมื่อโตขึ้นและใช้ชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ดูเหมือนจะมีอาหารแบบนั้นเยอะมากเลยล่ะค่ะ
อย่างเช่น น้ำขิง ที่ตอนเด็ก ๆ กินไม่ได้และไม่คิดจะกินเลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่แค่กินได้ แต่กลับชอบขึ้นมาซะอย่างนั้นค่ะ (อาจจะเป็นเพราะอายุที่มากขึ้นก็เป็นได้นะคะ 😅)
นอกจากเรื่องอายุที่เปลี่ยนไปทำให้รสนิยมการกินเปลี่ยนตาม อาจจะมีอาหารบางชนิดที่เราดันไปเจอร้านที่ไม่อร่อยจึงทำให้ความประทับใจแรกต่ออาหารเมนูนั้นติดลบ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเราอาจจะชอบมันก็ได้
เรื่องที่จะเล่าในวันนี้ก็เกี่ยวกับเมนูอาหารญี่ปุ่น ที่สำหรับฉันในอดีตแล้วคงไม่คิดที่จะสั่ง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าโหยหาอยากจะกินซะอย่างนั้นค่ะ
เมนูที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีอย่าง “โซบะ” หนึ่งในเมนูเส้นขึ้นชื่อของประเทศญี่ปุ่น
จุดที่เปลี่ยนความคิดของฉันต่อโซบะ ไม่ได้เป็นร้านอาหารชื่อดังหรือหรูหราอะไรเลยค่ะ เป็นเพียงแค่ร้านโซบะที่ขายอยู่ในฟู้ดคอร์ทเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นร้านอาหารในฟู้ดคอร์ทก็อุดมไปด้วยอาหารญี่ปุ่นที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพมากมาย สมกับเป็นประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวสู่ประเทศญี่ปุ่นเสียจริงค่ะ
ที่นี่คือ OEDO FOOD HALL ใน HANEDA AIRPORT GARDEN นั่นเอง
ใครที่ได้ติดตาม #บันทึกของเฟิร์น มาก่อนอาจจะคุ้นกัน เนื่องจากเราเคยพาไปสำรวจมาเมื่อปีที่แล้ว
เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมบริการที่ครบวงจรสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเพิ่งมาถึงหรือรอขึ้นเครื่องที่สนามบินฮาเนดะ ก็สามารถมาพักผ่อนหย่อนใจพร้อมสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย
ภายในฟู้ดคอร์ทแห่งนี้ก็มีเมนูอาหารญี่ปุ่นให้เลือกมากมายค่ะ ทั้งอาหารทะเล อย่างซาชิมิ ซูชิ ข้าวหน้าปลาต่าง ๆ หรือจะเป็นราเม็ง รวมไปถึงสเต็กเนื้อวากิว แฮมเบิร์ก แกงกะหรี่ และที่ขาดไม่ได้คือโซบะ
ก่อนที่จะไปแนะนำโซบะของที่นี่ เรามารู้จักประวัติของโซบะในประเทศญี่ปุ่นกันก่อนดีกว่า ว่ากว่าจะมาเป็นเมนูยอดนิยมของญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
ว่ากันว่า “โซบะ” เริ่มเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคโจมง (ประมาณ 14,000 – 300 ปีก่อนคริสตกาล) มีหลายทฤษฎีที่พูดถึงที่มาของโซบะว่ามาจากเกาหลีทางจังหวัดนางาซากิบ้างล่ะ หรือมาจากไซบีเรียทางเหนือของประเทศญี่ปุ่นบ้างล่ะ แต่ทฤษฎีที่ดูจะมีแนวโน้มมากที่สุดคือ มาจากประเทศจีนทางภูมิภาคคิวชู โดยในสมัยนั้นแป้งโซบะหรือแป้งบัควีทถูกนำมาใช้ทำเป็นแป้งเกี๊ยวหรือขนมปังง่าย ๆ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็ได้พัฒนากลายมาเป็นรูปแบบของเส้นโซบะในปัจจุบัน
ยุคสมัยที่โซบะแพร่หลายเริ่มตั้งแต่ยุคเอโดะ โดยเส้นโซบะที่พัฒนาขึ้นในยุคนั้นเรียกว่า “นิฮาจิโซบะ” (2:8 Soba / 二八そば) หมายถึงสัดส่วนของแป้งบัควีท 80% (Buckwheat flour / 蕎麦粉) ต่อแป้งสาลี 20% (Wheat flour / 小麦粉) ที่ใช้ในการทำเส้นโซบะ การเพิ่มสัดส่วนของแป้งสาลีช่วยทำให้เส้นจับตัวกันได้ดีกว่าซึ่งง่ายต่อกระบวนการทำ รวมถึงทำให้เส้นโซบะมีความเหนียวนุ่มและยืดหยุ่นมากขึ้น เส้นไม่ขาดง่ายเมื่อปรุงหรือรับประทาน ซึ่งสอดคล้องกับเอโดะในสมัยนั้นที่เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่น เน้นความรวดเร็วและปริมาณในการผลิต รวมถึงให้รับประทานง่าย แต่ยังคงรสชาติของบัควีทเอาไว้อย่างชัดเจน
ท่ามกลางร้านโซบะมากมายในเอโดะ (หรือโตเกียวในปัจจุบัน) เรียกได้ว่าโซบะได้สืบทอดและพัฒนาขึ้นมาในโตเกียวนั่นเอง เมื่อมาเที่ยวโตเกียวแล้วล่ะก็ เราอาจจะนึกไม่ออกว่าควรรับประทานอะไร หรืออาหารท้องถิ่นของโตเกียวคืออะไร วันนี้ได้รู้แล้วว่าหนึ่งในนั้นก็คือโซบะนั่นเองค่ะ
จากนั้นโซบะก็ได้กลายเป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นมา รวมถึงมักนำไปใช้ในงานเทศกาลหรือโอกาสสำคัญต่าง ๆ อย่างเช่นที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าหากกินโซบะในช่วงก่อนวันขึ้นปีใหม่ ชีวิตจะยืนยาวเหมือนเส้นของโซบะ ซึ่งในการกินห้ามกัดเส้นโซบะเด็ดขาด ให้ซู้ดเข้าไปให้หมดค่ะ เมนูนี้เรียกว่า “โทชิโคชิโซบะ” (年越しそば) หรือโซบะข้ามปี
ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานทำให้เราได้รู้ว่า โซบะไม่ได้เป็นเพียงอาหาร แต่ยังเป็นตัวแทนของวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของชาวญี่ปุ่นที่ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
นอกจาก “นิฮาจิโซบะ” ที่แบ่งอัตราส่วนของแป้งบัควีทและแป้งสาลีเป็น 80:20 แล้ว เมื่อวันเวลาผ่านไปรสนิยมการรับประทานของผู้คนก็เปลี่ยนไป เช่น มีการใส่ใจสุขภาพหรือให้ความสำคัญกับวัตถุดิบมากขึ้น ทำให้โซบะก็ได้ถูกพัฒนาสูตรใหม่ ๆ ขึ้นมาเช่นกัน
อย่างเมนูโซบะที่จะแนะนำในวันนี้คือ “โทวาริโซบะ” หรือ “จูวาริโซบะ” (十割そば)
100% Buckwheat Noodles
คำว่า “โทวาริ” หรือ ”จูวาริ” (十割) แปลว่า 100% หมายถึงเส้นโซบะที่ทำจากแป้งบัควีท 100% ไม่มีการผสมแป้งสาลีหรือแป้งชนิดอื่น ทำให้มีรสชาติของบัควีทที่เข้มข้นที่สุด แน่นอนว่าถูกใจสำหรับคนรักสุขภาพเลยเพราะมีไฟเบอร์สูงและปราศจากกลูเตน แต่เนื่องจากไม่มีการผสมแป้งสาลีทำให้แป้งบัควีทจับตัวกันได้ยากกว่า มีการทำที่ยุ่งยากกว่า และเส้นจะขาดง่าย
ส่วนใหญ่จูวาริโซบะมักเสิร์ฟในร้านโซบะเฉพาะทางหรือร้านอาหารที่ต้องการเน้นคุณภาพของวัตถุดิบ และนิยมเสิร์ฟแบบเย็นเพื่อเน้นรสชาติและเนื้อสัมผัสของเส้นโซบะ
แต่เราไม่ต้องไปตามหาที่ไหนให้ลำบาก เพราะสามารถมารับประทานโซบะ 100% ที่ OEDO FOOD HALL ที่ HANEDA AIRPORT GARDEN นี้ได้ค่ะ
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าปกติคงไม่คิดที่จะสั่งเมนูนี้ แต่วันนั้นไม่รู้อะไรดลใจหรือคิดแค่ว่าอยากกินอะไรเบา ๆ จึงเลือกที่จะสั่งโซบะมาค่ะ
วิธีการสั่งก็สะดวกสบาย สามารถเลือกเมนูและจ่ายเงินได้ที่ตู้อัตโนมัติ มีภาษาอังกฤษรองรับ และสามารถจ่ายได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต
ซึ่งที่ร้านก็มีโซบะหลายแบบให้เลือกทั้งร้อนหรือเย็น และเครื่องเคียงที่แตกต่างกัน รวมถึงเส้นโซบะก็มีหลาย % ค่ะ
มาถึงญี่ปุ่นทั้งทีก็ขอกินแบบออริจินัลสักหน่อย จัดไป 100% Buckwheat Noodles with Giant Tempura Shrimp เมนูที่ภาพใหญ่ที่สุด แสดงว่าอร่อยที่สุดค่ะ 😆
เมื่อชำระเงินเรียบร้อยก็จะได้ใบเสร็จพร้อมกับบัตรคิวมา หลังจากนั้นก็หาโต๊ะนั่งรอ เมื่อถึงคิวของเรา เลขคิวจะขึ้นบนหน้าจอให้เราไปรับออเดอร์ได้เลย
และนี่คือหน้าตาของโซบะแสนอร่อยที่ตราตรึงใจมาจนถึงตอนนี้ค่ะ
เส้นโซบะสีเข้มที่ดูแล้วรู้เลยว่าทำมาจากแป้งบัควีท 100% มาพร้อมกับเทมปุระกุ้งตัวโตและน้ำซุปเมนสึยุที่เอาไว้กินคู่กัน
เส้นเยอะเต็มถาดขนาดนี้จะกินยังไงให้หมดนะ… ฉันคิดแบบนี้ในตอนแรกค่ะ
แต่พอได้ลิ้มลองรสชาติของจูวาริโซบะเป็นครั้งแรก
.
.
.
😳
อร่อยจนไม่อยากจะเชื่อว่าโซบะอร่อยได้มากขนาดนี้เลยหรือนี่
ความหอมและรสชาติที่เข้มข้นและเส้นที่ไม่ได้เหนียวนุ่มแต่มีสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์เข้ากันได้ดีเมื่อกินกับน้ำซุปเมนสึยุ เป็นครั้งแรกที่ได้กินโซบะที่ทำจากแป้งบัควีท 100% จังหวะนั้นเหมือนตกหลุมรักโซบะและได้เมนูอาหารในดวงใจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรายการ
รู้ตัวอีกที ก็หมดซะแล้วค่ะ… (ใครกันที่บอกว่าจะกินไม่หมด 🫢)
หลังจากกลับมาไทยคราวนั้น จากปกติที่เมนูนี้ไม่เคยจะขึ้นมาในหัวเมื่อนึกถึงอาหารญี่ปุ่น กลับกลายเป็นว่าได้แต่โหยหาโซบะแสนอร่อย อยากจะกินอีกให้ได้ค่ะ
นึกขอบคุณโชคชะตาหรืออะไรก็ตามที่ทำให้มีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติของจูวาริโซบะในวันนั้น ทำให้ได้สัมผัสกับความอร่อยของอาหารญี่ปุ่นอีกหนึ่งอย่างและกลายมาเป็นหนึ่งในเมนูโปรด
แอบคิดว่าจะน่าเสียดายขนาดไหนกันนะ ถ้ายังฝังใจกับโซบะที่ไม่ได้ถูกปากก่อนหน้านั้น แล้วเลือกที่จะเมินมันตลอดไป คงจะเป็นเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งในชีวิตเลยล่ะค่ะ
การเดินทางไปญี่ปุ่นในแต่ละครั้งก็จะได้รับประสบการณ์แตกต่างกัน ทั้งได้รับรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่ทำให้เปลี่ยนความคิดบางอย่างไป ที่แหละคือเสน่ห์ของการออกเดินทางค่ะ
ว่าแต่ทุกคนมีเมนูอาหารอะไรแบบนี้ของตัวเองบ้างหรือเปล่าคะ ☺️