BLOG

บทความ

การเขียนพู่กันญี่ปุ่นและตัวอักษรคันจิ

การเขียนพู่กันญี่ปุ่นและตัวอักษรคันจิ

เรื่องราวของศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่นยังไม่จบ นอกจากจะได้เรียนรู้ “ศิลปะการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น” และ “พิธีชงชาของประเทศญี่ปุ่น” แล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจและน่าเรียนรู้เช่นกันค่ะ ยิ่งใครเป็นคนชอบศิลปะหรือตัวอักษรจะต้องชอบสิ่งนี้แน่นอน

นั่นก็คือ การเขียนพู่กันแบบญี่ปุ่น หรือเรียกว่า “โชะโด” (Shodo / 書道)

การเขียนพู่กันเป็นวัฒนธรรมที่มีรากฐานเช่นเดียวกับการจัดดอกไม้หรือพิธีชงชา โดยได้รับการสืบทอดมาจากชนชั้นสูง ซึ่งมาพร้อมกับแนวคิดทางศาสนาพุทธนิกายเซนที่เน้นการฝึกสติและสมาธิ อย่างการฝึกความสงบของจิตใจระหว่างที่จรดพู่กันลงกระดาษ อีกทั้งการเขียนพู่กันยังได้นำมาใช้ในเอกสารราชการ คำสั่งของจักรพรรดิ หรือบทกวีมาตั้งแต่ในอดีตอีกด้วยค่ะ

ศิลปะการเขียนพู่กันที่เราเห็นผ่านตาในบางครั้ง อาจจะรู้สึกว่าก็แค่การใช้พู่กันเขียน ใคร ๆ ก็น่าจะเขียนได้ แต่เมื่อได้มาทดลองทำด้วยตัวเองจริง ๆ การเขียนให้สวยงามนั่นยากมากเลยค่ะ ทั้งความหนักเบาในการบังคับพู่กัน ทั้งตัวอักษรจีนหรือคันจิในภาษาญี่ปุ่น ยิ่งเป็นตัวอักษรที่เราไม่ค่อยคุ้นชินแล้วนั้นก็เหมือนจะยิ่งยากขึ้นไปอีก (จริง ๆ เขียนภาษาไหนก็ยากค่ะ 😆) คิดว่าการฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญเลย เพื่อที่จะเขียนออกมาได้อย่างสมมาตรและสละสลวย

ในการเขียนพู่กันแบบญี่ปุ่นนั้นมีอุปกรณ์อะไรบ้าง ?

ไหน ๆ ก็มีโอกาสได้ลองเขียนทั้งที ก็จัดอุปกรณ์แบบดั้งเดิมกันไปเลย

สำหรับอุปกรณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นอาวุธคู่ใจของนักเขียนมีอยู่ 4 อย่างด้วยกันดังนี้


– พู่กัน (Fude / 筆)
– ตลับหินฝนหมึก (Suzuri / 硯)
– แท่งหมึก (Sumi / 墨)
– กระดาษญี่ปุ่น (Washi / 和紙)
โดยเรียกรวม ๆ ว่า “บุนโบชิโฮ” (Bunbo Shiho / 文房四宝)

พู่กันและกระดาษญี่ปุ่นก็เป็นอุปกรณ์ธรรมดาที่ต้องมีเมื่อต้องเขียนพู่กันอยู่แล้ว แต่ตลับหินฝนหมึกกับแท่งหมึก ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เจอกับสิ่งนี้ แท่งหมึกที่มีลักษณะเป็นของแข็ง จะกลายมาเป็นน้ำหมึกสำหรับใช้เขียนได้อย่างไร เพราะในสมัยนี้ถ้าอยากจะเขียนพู่กันหรือวาดรูปก็มีน้ำหมึกหรือสีน้ำเอาไว้ให้เขียนอย่างสะดวกสบายเลยใช่ไหมล่ะคะ

วิธีการที่จะได้น้ำหมึกออกมาก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย โดยเราจะเทน้ำเปล่าลงไปบนตลับหินฝนหมึก หลังจากนั้นไสแท่งหมึกลงบนตลับหินไปมา ขูดวนไปเรื่อย ๆ น้ำที่เป็นสีใสก็จะเริ่มกลายเป็นสีดำจากแท่งหมึกที่มีส่วนผสมของเขม่าควัน ยิ่งทำไปเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งสีเข้ม แค่นั้นเราก็จะได้น้ำหมึกสำหรับเขียนพู่กันแล้วค่ะ


ถึงวิธีการจะไม่ซับซ้อนแต่กว่าจะได้น้ำหมึกออกมาแต่ละทีใช้เวลานานและค่อนข้างเหนื่อยเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งขั้นตอนนี้ก็เข้ากับแนวคิดของเซนที่ถือเป็นการทำสมาธิและทำให้จิตใจสงบก่อนลงมือเขียนพู่กัน เพราะในการเขียนพู่กันแต่ละครั้ง หากเขียนผิดก็จะไม่สามารถแก้ไขได้ ในขณะที่ตัวเรากำลังเขียนพู่กันลงบนกระดาษจึงต้องมีสมาธิและสติอยู่เสมอ
อุปกรณ์พร้อมแล้วก็มาเริ่มเขียนกันเลย~

เริ่มแรกก็มาเขียนตามคำบอกกันก่อน หรือฝึกเขียนตามตัวอย่างที่อาจารย์เตรียมไว้ให้นั่นเอง

คำแรกเป็นตัวอักษรฮิรางานะหรือตัวอักษรญี่ปุ่นคำว่า “さくら” (ซากุระ) ซึ่งเป็นสไตล์การเขียนให้ตัวอักษรติดกันโดยไม่ยกพู่กันออกจากกระดาษเลย


นักเรียนแต่ละคนนี่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากเลยว่าไหมคะ 😆

ลองเขียนตัวอักษรญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยซับซ้อนกันไปแล้ว ถึงเวลาลองเขียนตัวอักษรจีนหรือคันจิกันบ้าง

ตัวคันจินี่แค่เขียนปกติก็ว่ายากแล้ว พอมาเขียนพู่กันถึงกับเหงื่อตกเลยทีเดียว

คราวนี้จะเขียนตามตัวอย่างหรือจะเลือกตัวอักษรที่ชอบก็ได้

ฉันเลือกเขียนคำว่า “星” ที่แปลว่าดวงดาว ซึ่งอาจารย์ได้เขียนเป็นตัวอย่างไว้ให้แล้ว ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะง่าย แต่รู้สึกว่าคิดผิดเสียแล้วค่ะ เพราะเมื่อเราเขียนเสร็จก็จะมีตัวเปรียบเทียบให้ยิ่งเห็นเลยว่าเราเขียนไม่สวยยังไง 😣

และนี่คือตัวอักษรคันจิที่แต่ละคนเลือกมาเขียนในสไตล์ที่แตกต่างกัน 👍🏻


เมื่อได้ทดลองเขียนตัวอักษรในแบบต่าง ๆ ไปแล้ว ก็ถึงเวลาฟรีสไตล์ เขียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเขียนแล้วค่ะ

ซึ่งคำที่ฉันเลือกเขียนก็คือ “笑顔” ที่แปลว่ารอยยิ้ม เหตุผลที่เลือกก็เพราะว่าเป็นความหมายที่ดีและชื่อจริงของฉันก็แปลว่าใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานค่ะ 😆

ขอให้อาจารย์เขียนเป็นตัวอย่างให้หน่อย แล้วค่อยมาลอกเลียนแบบกันค่ะ


และนี่คือผลงานของฉันเองค่ะ ทุกคนว่าเป็นยังไงบ้างคะ (ดูแปล่ง ๆ แต่ก็ได้อยู่นะ…) 😄


สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเขียนพู่กันหรือการวาดภาพก็คือตราประทับหรือเรียกว่า “ฮังโกะ” (Hanko / 判子)

ตราประทับสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีแดงเล็ก ๆ ที่มักจะเห็นอยู่ในภาพเขียนหรือภาพวาดญี่ปุ่นโบราณ พูดง่าย ๆ คือเปรียบเสมือนลายเซ็นของศิลปินนั่นเอง

และเมื่อเราสร้างสรรค์ผลงานของเราแล้ว ก็ต้องมีตราประทับของเราเองด้วยสิคะ ☺️

ตราประทับแบบญี่ปุ่นมักจะใช้ตัวอักษรจีนแบบโบราณซึ่งใช้มาตั้งแต่อดีต มีความโค้งมนไม่เหมือนปัจจุบัน มีความสมมาตร ความศิลป์และความขลังอยู่ในตัวอักษร ซึ่งอักษรเหล่านี้เรียกว่า “เทนโชะ” (Tensho / 篆書) อีกทั้งลายเส้นที่เป็นอิสระแบบนี้ทำให้ศิลปินสามารถสร้างลายเซ็นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และปลอมแปลงได้ยากอีกด้วย

แน่นอนว่าการทำฮังโกะหรือตราประทับของตัวเอง ก็จะเป็นการแกะสลักยางลบนั่นเองค่ะ

และนี่คือตัวอย่างตัวอักษรที่ฉันจะต้องแกะสลัก ซึ่งฉันเลือกคำว่า 笑 อีกแล้วค่ะ 😂


แกะสลักเสร็จแล้วก็จะได้ตราประทับแบบนี้เลย~


เมื่อพอใจกับลายเซ็นของตัวเองแล้วก็ประทับลงไปในผลงานของตัวเองกันค่ะ



กว่าจะมาเป็นตัวอักษรคันจิที่ญี่ปุ่นใช้อยู่ในทุกวันนี้ ตัวอักษรจีนก็มีวิวัฒนาการมาหลากหลายรูปแบบ ซึ่งว่ากันว่ามีมานานถึง 3,000 ปีเลย ตัวอักษรเทนโชะที่มักจะใช้ในตราประทับถือว่าเป็นตัวอักษรโบราณแรกเริ่มเลยก็ว่าได้ แต่ก็ยังคงนำมาใช้อยู่จนถึงปัจจุบันค่ะ

Photo credit: https://shoun.e-nippon.co.jp/

ตัวอักษรที่แสดงถึงความขลังและปลอมแปลงได้ยาก ถึงแม้ในปัจจุบันเทคโนโลยีจะพัฒนาและไม่สามารถป้องกันการลอกเลียนแบบได้ด้วยวิธีนี้แล้ว แต่ก็ยังคงนำมาใช้ต่อไปเพื่อรักษาวัฒนธรรมและความรู้สึกที่เป็นทางการและน่าเกรงขามอยู่

เนื่องจากตัวอักษรเทนโชะถูกใช้ในตราราชการและตราจักรพรรดิมานาน ตัวอักษรเหล่านี้จึงสื่อถึงความน่าเชื่อถือ ความเป็นทางการ และความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐ ซึ่งมักจะเห็นอยู่ในเอกสารราชการที่เป็นทางการ รวมถึงถ้าสังเกตพาสปอร์ตของชาวญี่ปุ่นล่ะก็ จะเห็นว่ามีการเขียนชื่อประเทศเป็นตัวอักษรเทนโชะอยู่ค่ะ


โชะโดหรือการเขียนพู่กันญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

หากมีโอกาสทำกิจกรรมล่ะก็ อย่าลืมลองเขียนกันนะคะ ถือว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสมาธิได้ดีเลยทีเดียว

หรือใครไปเที่ยวญี่ปุ่นก็อย่าลืมมองหาตัวอักษรจีนโบราณตามที่ต่าง ๆ ของญี่ปุ่นกันได้นะ