BLOG
บทความ
M E G I J I M A
เกาะเมงิจิมะ หรือเกาะผู้หญิง (女木島) อยู่ในจังหวัดคางาวะ เป็นเกาะเล็กๆ ที่ลอยอยู่ในทะเลในเซโตะ มีพื้นที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ประชาชนอาศัยอยู่ไม่ถึง 200 คน และส่วนมากเป็นผู้สูงอายุค่ะ
ย้อนกลับไปประมาณช่วงเดือนมกราคม ปี 2015 ได้มีโอกาสมาที่เกาะแห่งนี้ครั้งแรก ถ้าเทียบกับปัจจุบันแล้วตอนนี้เกาะแห่งนี้คึกคักและมีการเปลี่ยนแปลงมากพอสมควรเลยค่ะ เพราะเทศกาล Setouchi Triennale ทำให้จากที่มีแต่ผู้สูงอายุ ตอนนี้ก็เริ่มมีคนหนุ่มสาวกลับมา ณ ที่แห่งนี้แต่งแต้มความสดใสให้ผู้คนบนเกาะ ดีจริงๆ เลยค่ะ
จากท่าเรือทากามาทสึ นั่งเรือเฟอร์รี่ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ทันทีที่เรือเทียบท่าก็ได้พบกับยักษ์(?)หินนั่งต้อนรับอยู่ พร้อมอาคารหลังสีแดงที่มองไกลๆ ดูคล้ายแมงมุม
เกาะนี้คนญี่ปุ่นบางคนก็เรียกว่า “เกาะโอนิกะจิมะ” (鬼ヶ島) หรือเกาะยักษ์นั้นเอง เพราะด้านบนภูเขาของเกาะมีถ้ำยักษ์ ซึ่งเป็นที่อาศัยของเหล่ายักษ์ตามตำนานโมโมทาโระหรือเด็กลูกท้อ ผู้ปราบยักษ์ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวเมืองนั่นเอง
เมื่อลงจากเรือซึ่งผู้คนดูบางตาเพราะวันนี้ เป็นวันพฤหัสบดีซึ่งเป็นวันหยุดของเกาะ (ในตอนนั้น) โชคดีที่อาคารที่มีจุดบริการนักท่องเที่ยวนั้นเปิดให้บริการ เมื่อเข้าไปได้รับการบริการที่สุดแสนจะแอ็กคลูซีฟ คุณป้าที่ประจำอยู่ที่นั้นเดินออกมาต้อนรับอย่างแข็งขันแม้จะเป็นวันหยุด
คุณป้าถามว่าจะไปไหน ก็เลยบอกว่า “จะไปถ้ำยักษ์ด้านบนค่ะ”
คุณป้าตอบกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “วันนี้เป็นหยุดของเกาะนะ ไม่มีรถบัสจ้า…เช่าจักรยานไหมจะได้ปั่นสบายๆ ”
ในใจคิดคนที่นี่ใจดีเสียจริง “ได้เลยค่ะ” ด้วยเหตุนี้จึงได้จักรยานมาเคียงข้าง
คุณป้าใจดีไม่มีเวลากำหนดปั่นให้พอ ปั่นจนพอใจแล้วค่อยเอามาคืน
บทสนทนานั้นเป็นภาษาอังกฤษปนญี่ปุ่นบ้าง คุณป้าพยายามที่จะพุดคุยและช่วยเหลือเป็นภาษาอังกฤษกับต่างด้าวอย่างเรา
ได้เวลาออกเดินทางไปตามหายักษ์กัน
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 ที่แสนเย็นยะเยือก พร้อมจักรยานคู่ใจค่อยๆ ปั่นขึ้นไป วันหยุดที่มองไม่เห็นนักท่องเที่ยวเลย อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย แม้แต่คนก็ยังไม่เห็นแม้แต่คนเดียว
ช่วงแรกที่ยังได้ปั่นผ่านบ้านคนก็ยังไม่รู้สึกอะไรมากนัก เพลิดเพลินกับทุกสิ่งทุกอย่างเพราะนั้นคือครั้งแรกที่มาเกาะนี้ แต่เมื่อเข้าเขตที่เป็นพื้นที่ภูเขาความเงียบเหงาค่อยๆ เข้าปกคลุม เสียงกาที่ร้องและบินวนไปรอบๆ ยิ่งสร้างบรรยากาศชวนขนหัวลุกแม้จะเป็นช่วงกลางวันแสกๆ
เงียบสงบ จนเงียบสงัด ขนาดที่ได้ยินเสียงโซ่จักรยาน และล้อที่สีกับถนน
ในตอนนี้ถ้ามีหมีหรือหมูป่าโผล่ออกมา ก็คงไม่มีใครช่วยทัน 555+
เลยตัดสินใจรีบปั่นขึ้นไปด้านบนด้วยแรงที่มีทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่ว่าจะด้วยแรงเท่าใด การปั่นขึ้นเขาในทางลาดก็ไม่สามารถเร่งปั่นให้ทันใจได้
การกระทำมันช่างสวนทางกับใจเสียจริงๆ
และแล้วก็มีรถคันเล็กสีขาววิ่งสวนทางมา แล้วจู่ๆ ก็จอดเทียบข้างทาง
คุณตาลงมาจากฝั่งคนขับ แล้วพ่นภาษาญี่ปุ่นใส่รัวๆ ได้แต่ทำหน้าเหวอ และประมวลผลด้วยความรู้ทั้งหมดที่มี พร้อมเดาท่าทางของคุณลุง (จิตนาการสำคัญกว่าความรู้ก็มา…) เมื่อฟังจบก็จูงจักรยานตามคุณตาไป คุณตาหันกลับมาและถามว่าตามมาทำไมหรือ… อ่า…. ไม่ใช่อย่างที่คิดสินะ คุณตาบอกใหม่อีกครั้งว่า เดี๋ยวเจอกันข้างบน ถึงบางอ้ออย่างนี้นี่เอง
ปั่นจักรยานต่อไปอย่างมีจุดหมาย…
ระหว่างทางก็มีนกการ้องเพลงและเสียงลมประกอบเป็น BGM
ยักษ์ตัวใหญ่ต้อนรับตั้งแต่ทางเข้า ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดจุดถึงจุดขายตั๋ว…
คุณตาที่เจอระหว่างทางนี่?! มาถึงแล้วเร็วเสียจริง
ซื้อตั๋วเสร็จไม่รอช้ารีบเข้าไปด้านในถ้ำ คุณตาบอกไม่น่ากลัวหรอกเข้าไปเลย ไม่มืดๆ มีไฟ ไม่หลงหรอก
ได้เลยค่ะ หายใจเข้าลึกๆ เพื่อขจัดความกลัวและกังวลก้าวขาเข้าไปในถ้ำ
บรรยากาศที่เงียบสงัด แสงไฟสลัว อากาศเย็นจนยะเยือก เสียงหยดน้ำที่กระทบกับพื้น ความชื้นของอากาศในถ้ำ และยักษ์หน้าตาดุดันถมึงทึงดูตึงเครียด แสงไฟสีต่างๆ ที่ประดับโดยรอบยิ่งชวนให้รู้สึกหัวใจสั่นไหว เต้นยังกับกลองสะบัดชัย
เดินไป ดูไป ถ่ายรูปไป จนมาถึงทางออก
ระยะทาง 400 เมตรดูยาวขึ้นมาเลยทีเดียว ในใจตั้งใจจะกลับไปข้างล่าง แต่ก็นึกถึงคำที่คุณตาบอก “ไปข้างบนถ้ำสิวิวสวยนะ”
จึงเดินขึ้นไปชมด้านบนจุดชมวิว ที่จะคึกคักอย่างมากในฤดูใบไม้ผลิ เพราะที่นี่คือจุดชมซากุระค่ะ
แต่ช่วงฤดูหนาวก็จะเงียบไปนิดหนึ่ง แต่วิวทะเลในเซโตะสวยจริงๆ ค่ะ
ก่อนกลับลงมาท่าเรือ เลยบอกลาคุณตา
คุณตาบอก “วันนี้เป็นวันหยุดนะ ร้านอาหารปิดหมด ไม่มีอะไรกินนะ กินราเม็งไหม (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) จะต้มให้กิน”
โอ้โห.. ประทับใจจนวินาทีสุดท้าย ด้วยความเกรงใจและในกระเป๋ามีขนมปังที่ซื้อไว้จากในเมืองก่อนมาที่เกาะ
จึงเปิดกระเป๋าพร้อมโชว์ขนมปังและเอ่ยออกไปว่า “ไดโจบุเดส” ไม่เป็นไรค่ะ
ได้เวลาลงเขา ยิ่งได้ปั่นจักรยานลงเขายิ่งสนุกสุดๆ ไปเลยค่ะ ช่างต่างกับตอนขึ้นมา
ลงเนินมาสนุกแล้ว ลงเขาสนุก ตื่นเต้นสุดๆ เลยค่ะ วิวทะเลในเซโตะก็สวยสุดๆ
แต่ต้องระวังเพราะถ้าดูวิวเพลินเกินไป จะแหกโค้งเอาค่ะ (เพราะเกือบไปแล้วเหมือนกันค่ะ)
ลมทะเลพัดมา บวกกับความเร็วยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่เลยค่ะ หน้าและหูแข็งไปหมดเลยค่ะ
เมื่อถึงท่าเรือไปดูรอบเรือ ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งชั่วโมง คุณป้าที่ท่าเรือบอกให้ไปปั่นจักรยานเล่นเลียบหาดสวยดี
เลยใช้เวลาปั่นเลียบหาด บรรยากาศเงียบสงบก็ได้อารมณ์ความรู้สึกอีกแบบดีนะคะ ได้ยินเสียงของตัวเองเต็มที่เลยค่ะ
กลับมาที่ท่าเรือเข้าไปหลบลมหนาวในอาคารคุณลุงสามีของคุณป้าเดินมาเปิดเตาผิงให้ พร้อมชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย
คุณป้าก็ออกมาพร้อมถาดใบใหญ่ มีกาแฟอุ่นๆ ส้ม 2 ลูก ขนมกรุบกรอบ และโมจิเหนียวนุ่มในถั่วแดงต้มหวานๆ
“กินซะ จะได้ไม่หิว วันนี้ไม่มีร้านไหนเปิดหรอกจ้า กินเลย…”
โอ้โห… คนบนเกาะนี้จะใจดีไปไหน ประทับใจจนไม่รู้จะประทับใจอย่างไรแล้ว
ได้เวลาที่ต้องโบกมือลา คุณป้าเดินมาส่งที่ท่าเรือพร้อมใบหน้าที่อบอวลไปด้วยรอยยิ้ม
โชคดีจังที่ได้มาเกาะนี้ในวันหยุด…
“ความทรงจำแสนพิเศษนี้กาลเวลาก็ไม่ได้ทำให้เลือนลง ยิ่งย้อนคิดถึงก็ยิ่งทำให้ความทรงจำนั้นชัดเจน”