BLOG
บทความ

การเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 2025 ซึ่งปลายทางสำหรับครั้งนี้คือ “จังหวัดโอคายามะ” ค่ะ
เป็นจังหวัดที่ไม่เคยไปมาก่อนและถือเป็นประสบการณ์การต่อเครื่องภายในประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกของฉันด้วยค่ะ
วันนี้จึงจะมาเล่าเรื่องราวการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังโอคายามะ ว่าจะไปเที่ยวโอคายามะเนี่ย เราสามารถเดินทางอย่างไรได้บ้าง ซึ่งหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ 🥹
เริ่มต้นจากสนามบินสุวรรณภูมิ
ใครที่เดินทางบ่อย ๆ ช่วงนี้ก็น่าจะคุ้นเคยกันกับตู้ Kiosk ที่เอาไว้ Self Check-in ด้วยตัวเอง ซึ่งเริ่มมีเยอะมากขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ ใครที่เดินทางด้วยตัวเองล่ะก็การใช้ตู้ Kiosk นี้ก็สะดวกสบายดีไม่น้อยค่ะ
นอกจากนั้นยังมีจุด Self Bag Drop ที่สามารถโหลดกระเป๋าเดินทางได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมาต่อแถวให้ยาวยืดที่เคาน์เตอร์เช็กอิน ดำเนินการครบจบด้วยตัวเอง รวมถึงการติดแท็กกระเป๋าต่าง ๆ ได้สวมบทเป็นเจ้าหน้าที่สายการบินเองเลยค่ะ
แต่เราจะต้องมั่นใจว่าในกระเป๋าเดินทางของเราจะไม่มีสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ เช่น พาวเวอร์แบงค์ และติดแท็กกระเป๋าให้ดี อย่าลืม Boarding Pass และ Claim Tag สำหรับสัมภาระที่เราโหลดไปในกรณีที่สัมภาระหายจะได้ตามหาได้ค่ะ
แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย ใช้เวลาน้อยมาก สามารถเข้าไปหาอะไรกินและชอปปิงสบาย ๆ รอขึ้นเครื่องได้เลย~
อย่างที่รู้กันว่าสนามบินสุวรรณภูมิได้เปิดใช้งานอาคารผู้โดยสารใหม่ SAT-1 หากใครที่ต้องขึ้นเครื่องในเกทที่ขึ้นต้นด้วยตัว S ล่ะก็ ต้องเผื่อเวลาไว้ให้ดีเลย เพราะจำเป็นต้องนั่งรถไฟต่อไปยังอาคาร SAT-1 ค่ะ
ที่อาคารผู้โดยสาร SAT-1 ก็มีสินค้าจำหน่ายและร้านอาหารให้บริการเหมือนกัน แถมมีที่นั่งรองรับเยอะมาก
ว่าแล้วเราก็เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นกันค่ะ
เราเดินทางด้วยเที่ยวบินกลางคืนของสายการบิน Thai Airways เที่ยวบิน TG682 ซึ่งจะเดินทางถึงสนามบินฮาเนดะในตอนเช้าค่ะ
หลับยาว ๆ กันไปบนเครื่องบิน ถือว่าเป็นช่วงเวลาบินที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการประหยัดเวลาอย่างยิ่งเลยค่ะ (แต่พออายุมากขึ้นเที่ยวบินแบบนี้ก็อาจจะเป็นตัวเลือกท้าย ๆ ก็ได้ค่ะ 😄)
สิ่งที่ควรระวังในการต่อเครื่องภายในประเทศก็คือ Terminal ค่ะ
ต้องเช็กให้ดีว่าเราลงเครื่องที่เทอมินอลไหน และต้องไปขึ้นเครื่องที่เทอมินอลไหน
อย่างกรณีนี้เราจะเดินทางจากสนามบินฮาเนะดะ ไปยังสนามบินโอคายามะโมโมทาโร่ ด้วยสายการบิน All Nippon Airways ซึ่งต้องขึ้นเครื่องที่เทอมินอล 2 ของสนามบินฮาเนดะ
ซึ่งโดยปกติเมื่อเราเดินทางจากไทยไปยังญี่ปุ่นก็จะได้ลงที่เทอมินอล 3 ซึ่งเป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศค่ะ
แต่ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะมีรถบัสรับ-ส่งระหว่างเทอมินอลให้บริการ เราเพียงต้องทำเวลาให้ทันเท่านั้นค่ะ 😄
เมื่อเครื่องแลนดิ้งลงสนามบินฮาเนดะเรียบร้อยแล้ว เราก็เพียงแค่ผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าเหมือนเวลาเราเข้าประเทศเป็นปกติค่ะ
และเมื่อเราออกมาทางประตูผู้โดยสารขาเข้า ก็จะเจอกับป้ายบอกทางที่แค่ออกมาก็เจอเลยอย่างกับรอเราอยู่
หลังจากนั้นก็เดินตามป้าย “Free Shuttle Bus to Terminal 1,2” ไปค่ะ ซึ่งจะมีป้ายบอกตลอดทางไม่ต้องกลัวหลงเลย
เดินตามป้ายจนลงมาที่ชั้นล่าง 1F ก็จะเจอกับป้ายรถบัสแล้วค่ะ
โดยวิธีการเดินทางไปยังแต่ละเทอมินอลก็จะมีหลายวิธีตามป้ายนี้เลย แต่การเดินทางด้วยรถชัทเทิลบัสก็สะดวกสบายมากค่ะ
รอไม่นานรถบัสก็มาแล้ว
โดยส่วนใหญ่เทอมินอล 1 และ 2 ของสนามบินฮาเนดะจะเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ โดยจะแบ่งเป็นสายการบิน Japan Airlines ที่เทอมินอล 1 และ All Nippon Airlines ที่เทอมินอล 2 ค่ะ
ใครไม่แน่ใจก็สามารถดูรหัสสายการบินได้ที่ป้ายรถบัสได้เลย
ครั้งนี้เราเดินทางด้วยเที่ยวบิน ANA653 ซึ่งต้องไปที่เทอมินอล 2 นั่นเองค่ะ
มีเวลาต่อเครื่องประมาณ 3 ชั่วโมง ถือว่ากำลังโอเคเลย (ถ้าไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน 😅)
*ควรระวังหมายเลขเทอมินอลให้ดีนะคะ เพราะเส้นทางของรถบัสจากเทอมินอล 3 จะเรียงจาก 3 > 1 > 2 แบบนี้ค่ะ ระวังลงผิดนะ 😊
เมื่อมาถึงเทอมินอล 2 แล้วก็เดินเข้าไปเลย~
ใช้สูตรเดิมคือการเดินตามป้ายค่ะ
“Domestic Departures” ขึ้นชั้น 2 ไปเลย Go Go!
เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาเรียบร้อยให้เดินไปทางซ้ายมือ จะเจอกับป้าย TICKETING & CHECK IN ซึ่งจะได้พบกับเจ้าตู้ Kiosk อีกแล้วค่ะ
ทำให้เข้าใจเลยว่ายุคสมัยเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตมนุษย์ อย่างการช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่แบบนี้ (แต่เพิ่มภาระให้ผู้เดินทางหรือเปล่าไม่แน่ใจนะคะ 😂) สำหรับผู้เดินทางแบบเราเองแรก ๆ อาจจะงงนิดหน่อย แต่วิธีการไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ
เช็กอินรับ Boarding Pass เรียบร้อยแล้วก็ไปโหลดกระเป๋าที่ช่องถัดไปได้เลย
ขั้นตอนไม่ยาก คล้ายกับตอนที่เราโหลดสัมภาระที่สนามบินสุวรรณภูมิเลยค่ะ
ขั้นตอนการเช็กอินและโหลดกระเป๋าด้วยตัวเองแบบนี้ เริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นแล้ว รวมถึงยังมีบางประเทศที่สามารถเช็กอินและโหลดกระเป๋าจากสถานีใจกลางเมืองได้โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปสนามบิน เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นต้น แล้วเราก็สามารถเดินทางไปสนามบินได้แบบชิว ๆ ไม่ต้องลากกระเป๋าเดินทางใบโตให้เหนื่อย ถือว่าสะดวกสบายมาก ๆ เลยล่ะค่ะ *แต่ต้องดูเงื่อนไขของแต่ละที่ให้ดี ๆ เช่น อาจจะสามารถใช้บริการได้แค่บางสายการบินเท่านั้นค่ะ
เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปข้างในกัน!
เทอมินอล 2 ของสนามบินฮาเนดะ มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ให้ได้ใช้บริการอยู่พอสมควรเลยค่ะ สามารถใช้เวลาผ่อนคลายสบาย ๆ ก่อนขึ้นเครื่องได้เลย
แต่ก็อย่านั่งจนเพลิน…
ใครที่ต้องขึ้นเครื่องที่เกท 500 – 513 จะต้องนั่งรถบัสต่อไปยังเครื่องบิน เพราะฉะนั้นอย่าลืมเผื่อเวลากันด้วยนะคะ ^^
ความใส่ใจของประเทศญี่ปุ่นอีกหนึ่งอย่างที่รู้สึกประทับใจและ WOW อีกแล้วกับ OMOTENASHI ของประเทศนี้ คือถุงใส่สัมภาะระที่ให้หยิบก่อนขึ้นเครื่องค่ะ จะเป็นถุงผ้าบาง ๆ เอนกประสงค์ที่จะนำไปใส่กระเป๋า แจ็กเก็ต หรืออื่น ๆ ที่เราไม่อยากให้ของ ๆ เราเปื้อน ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็น Pain point ของฉันมาโดยตลอดค่ะ การที่ต้องวางกระเป๋าของตัวเองที่ด้านล่างเบาะที่นั่งด้านหน้าตามคำบอกของลูกเรือ ค่อนข้างเป็นสิ่งที่ฉันไม่ชอบใจสักเท่าไหร่เลย แต่ก็ต้องยอมเพื่อความปลอดภัยค่ะ และเมื่อได้มาพบสิ่งนี้ก็ยิ่งรู้สึกประทับใจในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีก (ใครอยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ OMOTENASHI ของประเทศญี่ปุ่น สามารถตามไปอ่านได้ที่นี่เลย คลิก!)
ถึงเวลาออกเดินทางไปยังจังหวัดโอคายามะแล้ว!
การเดินทางเพียงแค่ 1 ชั่วโมงนิด ๆ เพียงแค่อึดใจเดียวก็มาเยือนถึงดินแดนโมโมทาโร่ ที่สนามบินโอคายามะโมโมทาโร่แล้วค่ะ
ลงจากเครื่องมารับกระเป๋าก็เจอโมโมทาโร่ออกมาต้อนรับเลย~
การเดินทางจากสนามบินโอคายามะ ไปยังใจกลางเมืองก็สะดวกสบายเช่นกัน โดยจะมีรถบัสให้บริการไปยังสถานีโอคายามะ และสถานีคุราชิกิ ซึ่งขากลับเราก็สามารถนั่งรถบัสจากทั้ง 2 สถานีนี้ไปยังสนามบินได้เช่นกันค่ะ
รายละเอียดตารางเวลาและราคาสามารถเช็กได้ในเว็บไซต์เลย!
https://www.okayama-airport.org/en/access/bus
แค่นี้ก็สามารถไปเที่ยวได้อย่างสบายใจในโอคายามะแล้ว!
ไหนมีใครอยากไปเที่ยวโอคายามะกันบ้างไหมคะ? 😆