BLOG

บทความ

ชีวิตฝึกงานหรรษากับวันธรรมดาในกรุงเทพฯ

ชีวิตฝึกงานหรรษากับวันธรรมดาในกรุงเทพฯ

สวัสดีค่ะทุกคน ฉันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม ที่ได้มีโอกาสมาฝึกงานที่บริษัทโคริแห่งนี้ วันนี้จะมาแชร์เรื่องราวชีวิตของการเป็นเด็กฝึกงานที่นี่ตลอดระยะเวลาที่เกือบ ๆ จะสองเดือนให้ทุกคนได้ฟังกันค่ะ

อืม…ก็คงต้องเริ่มเล่าจากจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัวเองได้มาฝึกงานที่นี่ละกันค่ะ เรื่องมีอยู่ว่าเอกญี่ปุ่นมหาลัยของฉันในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนักศึกษาชั้นปีที่สามต้องไปฝึกงานกันค่ะ จำได้ว่าช่วงตอนที่กำลังมองหาที่ฝึกงานแรก ๆ เครียดมากเลยค่ะ ว่าจะหาที่ฝึกงานได้หรือเปล่า เพื่อน ๆ ทุกคนในตอนนั้นก็วุ่นกับการหาที่ฝึกงานกัน แล้วฉันก็ได้รู้จักบริษัทโคริแห่งนี้ผ่านการแนะนำจากอาจารย์ค่ะ ว่าถ้าใครคนไหนที่สนใจอยากฝึกงานที่นี่ให้มาถามกับอาจารย์ได้นะ แต่ว่าในตอนนั้นฉันยังไม่ได้สมัครในทันทีนะคะ เพราะรู้เบื้องต้นคร่าว ๆ ว่าทางบริษัททำเกี่ยวกับการท่องเที่ยวก็เลยลังเลว่าจะลองลงชื่อกับอาจารย์ดูดีไหมนะ แบบว่าตัวเรานั้นไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย วิชาเรียนในมหาลัยเกี่ยวกับด้านการท่องเที่ยวก็ไม่เคยลงเรียนสักครั้ง ก็เลยพักความคิดที่จะสมัครไว้ก่อนค่ะ

แต่แล้วฉันก็บอกกับตัวเองว่าเพราะเราไม่รู้เลยต้องเรียนเพื่อที่จะได้รู้ยังไงล่ะ! และใช่ค่ะ สุดท้ายฉันก็สมัคร ฮ่า ๆ ตอนที่ไปติดต่อกับอาจารย์นั้นมีเพื่อนที่สนใจอยู่หลายคนเหมือนกันค่ะ นี่ก็เริ่มอยู่ไม่สุขละ แบบว่าคู่แข่งเยอะขนาดนี้เราจะได้ไหม เพราะทางโคริรับนักศึกษาฝึกงานแค่ 2 คน เลยใจแป้วไปนิดนึงแต่พอหลายวันเข้าเพื่อนหลายคนนั้นก็ถอนตัวไปเหลือผู้รอดชีวิตซึ่งก็คือฉันกับเพื่อนเป็นสองคนที่แน่วแน่ มุ่งมั่น ตั้งใจ ไม่หนี ไม่หาย ไม่ไปที่อื่นเพราะไม่ที่ไป….ล้อเล่นค่ะ ฮ่า ๆ (จริง ๆ มีค่า แต่ไม่ไปหนูจะอยู่ที่นี่) ฉันกับเพื่อนก็เลยได้รับโอกาสนั้นมาเหมือนจะพอมีโชคกับเขาอยู่บ้าง แต่ว่าตอนที่เขียนเรซูเม่ส่งอาจารย์กว่าจะผ่านมาได้นั้นก็ได้แก้สะบัดไปหลายรอบเหมือนกันค่ะ แต่สุดท้ายก็ผ่านค่ะ เย้ ๆ

โคริเป็นที่แรกงานแรกในชีวิตที่ได้ทำเลยก็ว่าได้ค่ะ ถึงจะเป็นการฝึกงานก็เถอะ ในหัวก็เลยมีความคิดหลายอย่างมันมะรุมมะตุ้มเต็มไปหมด ทั้งตื่นเต้นทั้งกังวลว่าเราจะทำออกมาได้ดีไหมนะ จะทำพังหรือเปล่า

ต่อไปขอพูดถึงในส่วนของงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำอย่างรวม ๆ ค่ะ ช่วงสัปดาห์แรกของการทำงานฉันกับเพื่อนเราได้ทำหลายอย่างอยู่เหมือนกันค่ะอย่างการได้นับโบรชัวร์ ทำทัวร์รีเสริช อัปเดตข้อมูลบริษัททัวร์แล้วก็ได้รู้จักกับประเภทของทัวร์ด้วยค่ะ แถมยังได้ทำงานในโปรแกรมที่ไม่เคยใช้มาก่อนเลยเงอะงะตะกุกตะกักไปหมด ถ้าถามถึงความยากในการทำงานล่ะก็คิดว่าตรงส่วนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นส่วนที่ยากมากที่สุดอย่างหนึ่งเลยล่ะค่ะสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้แตะคอมพิวเตอร์อย่างฉัน แต่พี่ ๆ ทุกคนก็ค่อย ๆ สอนให้อย่างใจเย็นและใจดีสุด ๆ ฮือ ขอบคุณพี่ ๆ จริงๆ ค่ะ


มีได้รับมอบหมายให้ทำงานแปลโดยการแปลจากญี่ปุ่นเป็นภาษาไทยด้วยค่ะ ตอนที่กำลังแปลก็สนุกบ้างเครียดบ้างค่ะ ฮ่าๆ ได้เอาความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่เคยเรียนทั้งหมดมาใช้ก็คราวนี้ ได้เจอกับคำศัพท์ใหม่ ๆ ศัพท์บางตัวก็ลืมว่าเคยเรียนมาแล้วก็มีค่ะไม่รู้ทำไมตอนแปลอยู่หน้าของอาจารย์ที่สอนอยู่ในห้องเรียนก็ขึ้นมาเป็นฉาก ๆ พอทำเสร็จก็ให้พี่แนนตรวจยังมีอีกหลายจุดที่ต้องแก้ไขค่ะ แต่ก็มีได้รับคำชมอยู่เหมือนกันนะ

แล้วก็มีงานทำโปรไฟล์โดยการใช้โปรแกรม Power Point อันนี้เป็นงานที่ด่วนสุด ๆ ทำงานแข่งกับเวลากดดันก็กดดันแถมความเครียดเพิ่มให้อีกนิดด้วยค่ะ (นิด=) ภายนอกฉันดูนิ่ง ๆ แต่ตอนที่กำลังเร่งปั่นงานอยู่นั้นในใจนี่แบบเปรียบกายร้อนดั่งเพลิงเปรียบใจร้อนดั่งไฟอะไรทำนองนั้นเลยค่ะ โปรแกรมคอมพิวเตอร์อีกแล้ว ฉันใช้ไม่คล่องเลยทำให้งานช้ากว่าเดิม แต่ก็ได้เพื่อนกับพี่ ๆ ช่วยกันปั่นจำได้ว่ากลับบ้านกันมืดค่ำเลยล่ะรู้สึกผิดสุด ๆ หลังจากนี้คงต้องเรียนเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้วล่ะ


มีช่วงสัปดาห์หนึ่งได้ WFH ค่ะเพราะพี่ ๆ โคริทุกคนต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่นกัน ฉันกับเพื่อนก็เลยได้ทำงานกันอยู่ที่ห้อง พอพี่ ๆ กลับมาเราสองคนก็ได้ของฝากน่ารัก ๆ จากญี่ปุ่นมาเพียบเลยค่ะ



บรรยากาศการทำงานในออฟฟิศก็เงียบบ้างเฮฮาบ้างสลับกันไปค่ะตอนที่ทุกคนกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้นไม่มีเสียงพูดเลยนั้นก็จะได้ยินเสียงแป้นพิมพ์กับความเย็นของแอร์ที่บางวันนั้นเย็นฉ่ำเหมือนเปิดให้เพนกวินบางทีก็จะมีเสียงของพี่ ๆ คุยงานกันค่ะมีเสียงหัวเราะให้ได้ยินอยู่เรื่อย ๆ เป็นเสียงหัวเราะที่อร่อยมากจนฉันอดไม่ได้ที่จะต้องขำตามขำจนเหนื่อยเพราะมันกลั้นไม่อยู่จริง ๆค่ะ (พี่ ๆ ทุกคนตลกจริง) เป็นบริษัทที่มีแต่เสียงหัวเราะแต่พอถึงช่วงที่จริงจังทุกคนก็มืออาชีพสุด ๆ ไปเลยล่ะ พอช่วงพักกลางวันก็ลงไปซื้อกับข้าวมากินพร้อมกันในออฟฟิศค่ะ พี่ ๆ ทุกคนก็ชวนคุยชวนจนท้อเพราะฉันกับเพื่อนพูดไม่เก่งเลย ถนัดฟังมากกว่าแต่ก็มีตอนที่เป็นฝ่ายชวนคุยก่อนอยู่บ้างนะถึงจะน้อยก็เถอะ ฮ่า ๆ


และเมื่อไม่นานมานี้ฉันกับเพื่อนได้ออกไปทำงานนอกออฟฟิศด้วยค่ะไปงานสัมมนาการท่องเที่ยวกับพี่ ๆ ตื่นตาตื่นใจสุด ๆ ฉันได้รับหน้าที่ให้ถ่ายภาพพี่เฟิร์นตอนที่กำลังพูดอยู่บนเวทีและแจกโบรชัวร์ของที่ระลึกอยู่ที่โต๊ะของบริษัทเราค่ะมีแจกเกือบไม่ทันบ้างเพราะมีช่วงที่คนเข้ามาพร้อมกันหลาย ๆ คน เวลามีคนมาสอบถามรายละเอียดก็จะผายมือไปที่พี่แนนกับพี่เฟิร์น (พี่ ๆ รับจบ) ฉันก็ได้แต่แอบมองอยู่ด้านหลังฟังพี่ ๆ สองคนพูดคุยกับคนที่เข้ามาสอบถามคิดในใจว่าพี่เขาเก่งมากอะพูดคุยตอบแบบไม่สะดุดฉันคิดว่ามันเท่มากเลยล่ะคนที่เก่งในงานที่ตัวเองทำอยู่น่ะ ฉันต้องทำงานอีกกี่สิบปีกันนะถึงจะเก่งได้แบบพี่ ๆ ทุกคนก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะคะพี่ ๆ ที่โคริทุกคนเจ๋งสุด ๆ ไปเลย

มาเล่าถึงการเดินทางและการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ กันบ้างดีกว่า ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัด นี่ถือเป็นการเข้ากรุงเทพฯ แบบจริง ๆ จัง ๆ ครั้งแรกเลยค่ะ แอบกลัวอยู่บ้างช่วงแรก ๆ แต่ยังมีเพื่อนที่มาด้วยกันเลยอุ่นใจไปบ้าง ตอนเช้าเวลามาทำงานเราสองคนนั่งแท็กซี่กันค่ะ ช่วงนี้เด็กนักเรียนเปิดเทอมกันแล้วรถติดมากต้องรีบ ๆ ออกจากที่พัก ตอนเย็นก็ขึ้นรถเมล์กลับค่ะ คนแน่นเอี๊ยด แน่นมาก (ก.ไก่ล้านตัว) บางทียัดไม่ไหวจริง ๆ เราสองคนก็ต้องรอคันถัดไปที่หมายถึงถัดไปของถัดไปเพราะเต็มทุกคัน และถ้าเป็นวันที่ฝนตกด้วยล่ะก็สภาพมากไม่อยากจะคิดเลย รถติดบวกกับคนบนรถที่เยอะขึ้น มาอยู่ที่นี่ก็เกือบจะสองเดือนเเล้วสกิลอย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้นอกจากเรื่องของการทำงานก็คงเป็นเรื่องของการขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพฯ นี่ล่ะค่ะ ฉันขึ้นรถเมล์ผิดหลายรอบมาก เกินห้าไปแล้วมั้งนั่น ขึ้นผิดฝั่งบ้างผิดสายบ้างลงผิดป้ายบ้าง ฮ่า ๆ เคยล้มบนรถเมล์ด้วยล่ะ ฮือ ไม่เป็นไรค่ะนักรบย่อมมีบาดแผล (เจ็บหนึ่งแต่อายสิบ) แต่ก็สนุกดีนะ

การได้มาฝึกงานที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีและเรื่องที่โชคดีของฉันอย่างหนึ่งเลยล่ะ ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้ฉันได้มาอยู่ที่นี่ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานมากนักแต่กลับไปต้องคิดถึงทุกคนแน่ ๆ ขอบคุณโคริขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่ทำให้ฉันได้รับประสบการณ์และความทรงจำที่ดีมากมายขนาดนี้