BLOG
บทความ
ที่ไหนคือจุดหมายปลายทางของทุกคนเมื่อมาเที่ยวนิกโกคะ?
ถ้าใครที่รู้จักนิกโกอยู่แล้ว ก็จะรู้ว่าที่นี่แบ่งโซนการท่องเที่ยวออกเป็น 2 โซน นั่นก็คือ โซนมรดกโลกและโซนธรรมชาติค่ะ
นิกโกที่เรียกได้ว่ามีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากและเป็นจุดหมายปลายทางที่โด่งดังสำหรับช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของวัดและศาลเจ้ามรดกโลก อย่างศาลเจ้านิกโกโทโชงู ที่มีภาพแกะสลักลิงปิดหู ปิดตา ปิดจมูกที่หลาย ๆ คนเคยได้เห็นกัน อย่างน้อย ๆ ก็รูปภาพอีโมจิในโทรศัพท์มือถือ 🙈🙉🙊
หากนั่งรถไฟมาถึงสถานีนิกโกแล้วล่ะก็ ต่อรถประจำทางอีกเพียงแค่ประมาณ 10 นาทีก็สามารถมาถึงดินแดนของวัดและศาลเจ้ามรดกโลกของนิกโกได้แล้วค่ะ
แต่ครั้งนี้เราจะขอข้ามดินแดนแห่งวัฒนธรรมไปก่อน และไปตะลุยดินแดนแห่งธรรมชาติกันค่ะ
โดยการเดินทางไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวธรรมชาติของนิกโกนั้น จำเป็นจะต้องนั่งรถขึ้นภูเขาไปยัง “โอคุนิกโก” อีกประมาณ 50 นาทีค่ะ
ซึ่งเส้นทางขึ้นภูเขานี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่โด่งดังเป็นอย่างมากในฐานะสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิกโกค่ะ หรือที่เรียกว่า “ถนนอิโรฮะซากะ” นั่นเอง
เส้นทางคดโค้งที่เชื่อมต่อระหว่างนิกโกและโอคุนิกโก เป็นเส้นทางขับรถชมธรรมชาติที่มีทัศนียภาพที่สวยงามเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีค่ะ ถ้าใครเมารถง่าย ๆ ก็อาจจะมีอาการเวียนหัวนิดหน่อยเพราะที่นี่มีโค้งรวมทั้งหมดถึง 48 โค้งด้วยกันค่ะ
แต่ถ้าเกิดว่ามาในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีพีค ๆ ล่ะก็ อาจจะตื่นตาตื่นใจไปกับความงดงามจนลืมเมารถไปเลยก็ได้ค่ะ
และเมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง เราก็จะได้พบกับ “ทะเลสาบชูเซ็นจิโกะ” ที่เปรียบเสมือนประตูสู่โอคุนิกโก รอต้อนรับทุกคนอยู่ค่ะ
ความยิ่งใหญ่และแสนสงบของทะเลสาบแห่งนี้ที่มีขนาดโดยรอบถึง 25 กิโลเมตร รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันงดงามมากมาย รวมถึงได้รับเลือกให้เป็นสถานที่พักผ่อน และกลายเป็นที่ตั้งของบ้านพักตากอากาศของนานาประเทศสำหรับนักการทูตที่เข้ามาในญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงกลางสมัยเมจิ
ครั้งนี้จะพาทุกคนไปสัมผัสเสน่ห์ของทะเลสาบชูเซ็นจิโกะ เพื่อตอบคำถามที่ว่า ทำไมที่นี่ถึงเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับสถานที่พักตากอากาศของนานาชาติค่ะ ^^
เพียงแค่ได้มายืนตรงจุดหนึ่งที่ริมทะเลสาบ ยังสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตาแล้ว
แต่เรามาเข้าใกล้กันอีกนิดโดยการล่องเรือชมทะเลสาบชูเซ็นจิโกะกันค่ะ
รู้หรือไม่?
ถ้าใช้ Nikko Pass all area สามารถขึ้นเรือชมทะเลสาบชูเซ็นจิโกะ (Tobu Chuzenjiko Cruise) ได้ฟรี!
Nikko Pass all area ตั๋วสุดคุ้มสำหรับการเที่ยวนิกโกเมื่อเดินทางจากโตเกียว นอกจากสามารถนั่งรถไฟและรถบัสได้ฟรีแล้ว ยังมีสิทธิพิเศษอื่น ๆ อย่างเช่นส่วนลดค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวหรือร้านค้า รวมถึงการนั่งเรือชมทะเลสาบก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
โดยเราสามารถขึ้นเรือได้ฟรี 1 ครั้ง ตามตารางเวลาเดินเรือปกติของ Tobu Chuzenjiko Cruise ค่ะ
ว่าแล้วเราก็ไปขึ้นเรือกัน!
เมื่อเรือเริ่มออกเดินทาง ก็เป็นธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่นค่ะ เจ้าหน้าที่ก็จะมาโบกมือส่งเราจนลับสายตา เป็นวัฒนธรรมที่น่ารักอย่างนึงของประเทศญี่ปุ่นที่ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราใจฟู~จริง ๆ เลยค่ะ
ภูเขานันไตสีเขียวขจีที่เป็นฉากหลังของทะเลสาบชูเซ็นจิโกะ
เมื่อถึงช่วงฤดูกาลของใบไม้เปลี่ยนสี ทั้งภูเขาแห่งนี้ก็จะถูกย้อมเป็นสีส้มแดงตระการตา ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จากทุกหนทุกแห่งเลยค่ะ ได้ข่าวว่าในช่วงพีคของฤดูกาลรถจะติดมากเลยทีเดียว
แต่ถ้าหากมาในช่วงก่อนฤดูกาลสักเล็กน้อย อย่างในรูปประมาณกลางเดือนกันยายน ก็จะพบกับความเขียวขจีแบบนี้ค่ะ (อาจจะเห็นความส้ม ๆ บ้างประปราย >_<)
ซึ่งล่องเรือชมทะเลสาบจะเปิดให้บริการในช่วงระหว่างกลางเดือนเมษายน ไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น จะไม่ได้เปิดในช่วงฤดูหนาวค่ะ
ล่องเรือรับลมเย็น ๆ มองแสงแดดกระทบน้ำระยิบระยับ ชมวิวทิวทัศน์กันไปเพลิน ๆ ค่ะ
ซึ่งทะเลสาบชูเซ็นจิโกะก็ไม่ได้สามารถล่องเรือชมวิวได้อย่างเดียว ยังมีกิจกรรมอย่างการปั่นเรือเป็ดหรือพายเรือคายัคด้วยค่ะ
เมื่อล่องเรือรอบทะเลสาบกันอย่างจุใจแล้ว มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดในการมาเยี่ยมชมหากมาที่ทะเลสาบชูเซ็นจิโกะค่ะ
แนะนำให้มาลงที่ท่าเรือ Embassy Villa Memorial Park Pier เราจะสามารถเดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอย่างบ้านพักตากอากาศของสถานทูตในอดีตที่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นสวนอนุสรณ์ที่เปิดให้ทุกคนเข้าไปเยี่ยมชมกันได้ค่ะ
เดินจากท่าเรือเลียบริมทะเลสาบท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ เพียงแค่ไม่ถึง 5 นาทีเท่านั้น เราก็จะมาถึง “สวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศของสถานทูตอิตาลี” ค่ะ
ซึ่งหากเราจะเข้าเยี่ยมชมทั้ง 2 สถานที่ ทั้งสวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศของสถานทูตอิตาลี และสวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศของสถานทูตอังกฤษ ก็สามารถซื้อตั๋วเหมาในราคา 450 เยนได้เลย
มาชมบรรยากาศข้างในของสวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศของสถานทูตอิตาลีกันค่ะ
ตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1928 ที่นี่ถูกสร้างให้เป็นบ้านพักตากอากาศของสถานทูตอิตาลีที่ท่านทูตในยุคสมัยต่าง ๆ ได้ใช้งานกันมาตลอดจนถึงปี ค.ศ. 1997 หลังจากนั้นอาคารหลักได้มีการบูรณะขึ้นมาโดยนำพื้นไม้กระดาน เฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนต่าง ๆ กลับมาใช้ใหม่ ส่วนอาคารรองได้รับการปรับปรุงให้เป็น “หอประวัติศาสตร์สถานที่พักร้อนนานาชาติ” สำหรับแนะนำประวัติศาสตร์อันยาวนานของสถานที่แห่งนี้
เดินสำรวจภายในบ้านพักที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นอิตาลี
ซึ่งบ้านพักนี้สร้างด้วยไม้และมี 2 ชั้นด้วยกันค่ะ ทั้งชั้นล่างและชั้นบนหันหน้าเปิดรับทัศนียภาพของทะเลสาบชูเซ็นจิ
วิวของทะเลสาบอันกว้างใหญ่ที่มองผ่านบานหน้าต่างเป็นวิวที่สะกดสายตามาก เล่นเอายืนมองอยู่นานเลยทีเดียวค่ะ
พอเริ่มจะเข้าใจทีละนิดแล้วค่ะ ว่าทำไมที่นี่ถึงได้กลายมาเป็นบ้านพักตากอากาศของนานาชาติมากมาย
เดินต่อไปอีกนิด ไม่ถึง 5 นาที ก็จะถึงอีกจุดหมายนึงของเราค่ะ
“สวนอนุสรณ์บ้านพักตากอากาศของสถานทูตอังกฤษ”
เช่นเดียวกันกับของบ้านพักของสถานทูตอิตาลี ที่ภายในบ้านจะมีการตกแต่งและจัดแสดงประวัติความเป็นมาต่าง ๆ อยู่รอบบ้าน แต่บรรยากาศที่ได้รับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงค่ะ
บ้านพักตากอากาศของสถานทูตอังกฤษ เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสถานที่พักร้อนนานาชาติ ณ โอคุนิกโกเลยก็ว่าได้ค่ะ
บ้านพักแห่งนี้สร้างโดย เออเนสต์ ซาโต นักการทูตของประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1896 และถูกใช้งานมาเรื่อย ๆ จนถึงปี ค.ศ. 2008 หลังจากนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ถูกส่งมอบให้จังหวัดโทจิกิและเปิดสู่สาธารณะในปี ค.ศ. 2010 ค่ะ
ทัศนียภาพอันงดงามราวกับภาพวาดของทะเลสาบชูเซ็นจิโกะเมื่อมองมาจากที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้เออเนสต์ ซาโตตัดสินใจสร้างบ้านพักตากอากาศขึ้นมา เมื่อเดินมาถึงชั้น 2 ก็ตอบคำถามทั้งหมดได้เลยค่ะ
ความงดงามที่ได้เห็นตรงหน้า เล่นทำเอาตาโต ตะลึงงัน เลยทีเดียวค่ะ
สมแล้วที่เป็นบ้านพักตากอากาศ
เพียงแค่ได้เห็นวิวทิวทัศน์ตรงหน้าก็ทำให้สบายใจขึ้นมาได้เลยทันที
อีกทั้งบริเวณชั้น 2 ยังมีคาเฟ่ที่ให้บริการ นั่งชิว ๆ รับลม ชมวิว กินขนมสไตล์อังกฤษเพลิน ๆ กันได้ค่ะ
ใครที่จินตนาการไม่ออกถึงความงดงามนี้ อยากขอเชิญชวนให้มาชมของจริงกันนะคะ
แล้วจะหมดสงสัยว่าทำไมที่นี่ถึงได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของบ้านพักตากอากาศของนานาชาติมากมาย
ครั้งนี้เรียกได้ว่าตกหลุมรักทะเลสาบชูเซ็นจิโกะไปเลยทีเดียว ♥