BLOG

บทความ

ที่พักสำหรับชาวต่างชาติที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น!

ที่พักสำหรับชาวต่างชาติที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น!

เวลามาเที่ยวญี่ปุ่นทุกคนกังวลในเรื่องใดมากที่สุดหรือคะ
ส่วนตัวฉันเองไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม “ที่พัก” คือเรื่องที่กังวลที่สุดค่ะ

เดินทางสะดวกไหม
สะอาดไหม
ราคาแพงไหม
บริการดีไหม

การเลือกที่พักถือว่าเป็นขั้นตอนที่เครียดที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ
แต่วันนี้ทุกคนจะไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะฉันมีสิ่งดีดีมานำเสนอค่ะ

“นิกโก” สถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังมากในหมู่นักท่องเที่ยวไทย (และทั่วโลก)
นอกจากวัดและศาลเจ้าอันเก่าแก่ที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว โรงแรมที่กำลังจะแนะนำทุกคนในวันนี้ก็มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าสนใจไม่แพ้กัน

ไม่เพียงเท่านั้น โรงแรมนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ทั้งเดินทางสะดวก ใกล้สถานที่ท่องเที่ยว และมีของอร่อย!

ว่าแล้วก็เดินทางไปโรงแรมนี้กันค่ะ


เมื่อทุกคนเดินทางมาถึงสถานีนิกโก (Tobu-nikko/Nikko Station) ก็สามารถนั่งรถบัสมาลงที่ป้ายชินเคียว (Shinkyo Bus Stop) ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีและเดินต่อเพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้นก็ถึงแล้วค่ะ

และที่นี่คือ…
โรงแรมนิกโก คานายะ โฮเต็ล (Nikko Kanaya Hotel / 日光金谷ホテル)


ความรู้สึกแรกที่มาถึง เพียงแค่เห็นสถาปัตกรรมภายนอกก็สัมผัสได้ถึงความเก่าแก่แล้วค่ะ
โรงแรมแห่งนี้มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยต้นเมจิ หรือนับมาจนถึงทุกวันนี้ก็ประมาณ 150 ปี


จุดเริ่มต้นของโรงแรมคานายะ โฮเต็ลนี้เริ่มต้นมาจากนักดนตรีเซนอิจิโระ คานายะ (Zenichiro Kanaya) ได้ใช้ส่วนหนึ่งของบ้านเขาเองเปิดเป็นเกสต์เฮาส์ The Cottage Inn ให้กับชาวต่างชาติในปี ค.ศ. 1873 ซึ่งมาจากคำแนะนำของเจมส์ เคอร์ติส เฮปเบิร์น (James Curtis Hepburn) หมอชาวอเมริกันผู้เคยมาเยือนนิกโกและมาพักที่บ้านของเขานั่นเอง

โรงแรมที่เปิดรับชาวต่างชาติในสมัยนั้นถือเป็นเรื่องแปลกในญี่ปุ่นมาก เนื่องจากในสมัยต้นเมจิชาวญี่ปุ่นเองยังไม่คุ้นเคยกับชาวต่างชาติ รวมถึงมีอุปสรรคทั้งเรื่องภาษาและวัฒนธรรม จึงเป็นเหตุให้เซนอิจิโระ คานายะได้ชวนเจมส์ เคอร์ติส เฮปเบิร์นมาพักที่บ้านของเขา และหลังจากนั้นก็ได้รับคำแนะนำให้เปิดที่พักขึ้นมานั่นเอง ที่นี่จึงกลายเป็นที่พักแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นที่เปิดรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะ

ผ่านมาประมาณ 20 ปี เซนอิจิโระ คานายะก็ได้เริ่มดำเนินกิจการโรงแรมคานายะ โฮเต็ลอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1893 ซึ่งเป็นที่อยู่เดียวกับปัจจุบัน ในตอนนั้นได้เปิดให้บริการเป็นอาคาร 2 ชั้น และมี 30 ห้อง ซึ่งถือว่าเป็นโรงแรมสไตล์ตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น

และหลังจากนั้นก็มีการขยายสาขาโดยได้เปิดโรงแรมนิกโก คังโค โฮเต็ล (Nikko Kanko Hotel) ในปี ค.ศ. 1940 หรือปัจจุบันคือโรงแรมชูเซนจิ คานายะ โฮเต็ล (Chuzenji Kanaya Hotel / 中善寺金谷ホテル) ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบชูเซนจิโกะ
เมื่อเดินเข้ามาข้างในตัวอาคาร ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศสไตล์ตะวันตกที่วินเทจมาก ๆ ทั้งการตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายประวัติศาสตร์จริง ๆ





ทั้งยังมีการตกแต่งด้วยผลงานศิลปะหัตหกรรมของท้องถิ่น อย่างงานแกะสลักไม้ ใครมาก็อย่าลืมมองหาน้องแมวที่นอนหลับอยู่บนคานด้านบนกันด้วยนะ


แน่นอนว่าอาคารของโรงแรมได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ของประเทศอีกด้วย

คำว่า “เก่าแต่เก๋า” นี่ใช้ได้กับโรงแรมนี้เลยค่ะ

ในอดีตมีบุคคลผู้มีชื่อเสียงมากมายเดินทางมาพักที่โรงแรมนี้ ทั้งเฮเลน เคลเลอร์ (Helen Keller), อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) รวมถึงราชวงศ์อังกฤษ


การตกแต่งภายในห้องพักก็ยังคงกลิ่นอายความเป็นตะวันตกแบบสมัยก่อน ทั้งเครื่องเรือนต่าง ๆ ราวกับได้ย้อนยุคเลยล่ะค่ะ






ถึงแม้ทุกอย่างจะทำให้เรารู้สึกเหมือนย้อนยุค แต่สิ่งอำนวยความสะดวกของที่นี่ก็มีความทันสมัย ทำให้เราพักผ่อนได้อย่างสบายใจค่ะ อย่างเช่นห้องน้ำอัตโนมัติ หรือแม้แต่เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลก็ยังมีบริการ



นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องของประเทศญี่ปุ่นที่ฉันชอบที่สุดค่ะ

คือการพัฒนาไปพร้อมกับยุคสมัย โดยไม่สูญเสียเสน่ห์และคุณค่าทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของตัวเอง
ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบสุดโต่งหรือรักษาความดั้งเดิมไว้โดยไม่พัฒนาจนล้าหลังหรือปล่อยให้หลุดหายไป

ฉันคิดว่าคนญี่ปุ่นรู้ว่าเอกลักษณ์ของตัวเองคืออะไร และสามารถดึงสิ่งนั้นออกมาปรับตัวผสมผสานตามยุคสมัยได้อย่างเป็นธรรมชาติ

นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีเสน่ห์และน่าสนใจสำหรับฉันมาก ๆ ค่ะ

นอกจากอาคารหลักที่ยังคงกรุ่นกลิ่นอายในสมัยก่อนแล้ว ยังมีที่พักแยกอีกหนึ่งอาคารที่เพิ่งรีโนเวทใหม่เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่มความทันสมัยและสะดวกสบายให้มากยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้เข้าพักทุกเพศทุกวัย


ภายนอกอาคารยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นเอาไว้ ทั้งหลังคาบริเวณทางเข้าหรืองานศิลปหัตกรรมไม้แกะสลักบริเวณประตู


แต่เมื่อได้เดินเข้าไปในตัวอาคาร ก็จะพบกับความแตกต่างอย่างลงตัวของบรรยากาศด้านในที่ได้ปรับปรุงเพิ่มความหรูหราขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยังคงสอดแทรกและหลงเหลือการตกแต่งแบบญี่ปุ่นไว้อยู่

รวมถึงมีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าพัก อย่างการติดตั้งลิฟต์ภายในตัวอาคาร ซึ่งจำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรามากจริง ๆ ค่ะในการขนกระเป๋าเดินทาง ทั้งยังสะดวกสำหรับผู้ใช้รถเข็นหรือมีรถเข็นเด็กด้วย ที่สมัยก่อนอาจจะลำบากสำหรับผู้เข้าพักเหล่านี้และบางครั้งไม่สามารถเข้าพักได้


ในห้องพักเองก็ตกแต่งให้มีความสมัยใหม่ขึ้น โดยเฉพาะห้องน้ำนี่ถือว่าโมเดิร์นมากเลยค่ะ




หน้าต่างบานใหญ่จากห้องพักที่สามารถมองเห็นธรรมชาติด้านนอก ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีน่าจะสวยจับใจน่าดูเลย อิจฉาคนที่จะได้มาพักในช่วงเวลานั้นเลยค่ะ คงจะได้นอนชิล อิ่มไปกับบรรยากาศแน่นอน




นอกจากบรรยากาศของที่พักที่มีเสน่ห์มาก ๆ แล้ว
“อาหาร” ก็เป็นอีกอย่างที่เชิญชวนให้แวะมาเยือนค่ะ

บริเวณชั้น 2 ของอาคารหลักมีห้องอาหารขนาดใหญ่ ที่ถึงแม้จะไม่ได้เข้าพักที่โรงแรมก็สามารถเข้ามารับประทานอาหารที่นี่ได้


ซึ่งโรงแรมแห่งนี้โดดเด่นเรื่องเมนูอาหารที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่เปิดโรงแรม โดยเฉพาะเมนูอาหารฝรั่งเศสที่ได้รับการสืบทอดกันมาอย่างยาวนานจากหัวหน้าเชฟคนแล้วคนเล่า รับประกันความอร่อยของรสชาติที่ส่งต่อและพัฒนากันมากว่า 100 ปี
แต่ถ้าใครไม่สันทัดอาหารตะวันตกล่ะก็ อีกเมนูที่แนะนำเป็นอย่างยิ่งคือ “ข้าวแกงกะหรี่หนึ่งร้อยปี” ค่ะ


ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมถึงเป็น 100 ปี เพราะเป็นสูตรที่พัฒนามาจากสูตรข้าวแกงกะหรี่ดั้งเดิมตั้งแต่สมัยเปิดโรงแรมใหม่ ๆ
สำหรับคอร์สนี้ก็จะเสิร์ฟสลัดเป็นออเดิร์ฟ ตามมาด้วยจานหลักที่เป็นข้าวแกงกะหรี่เนื้อวัว ตบท้ายด้วยของหวานล้างปาก




เมนูของหวานนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน

เซ็ตพุดดิ้งของโรงแรมคานายะ โฮเต็ลทั้ง 3 แบบตามยุคสมัย ตั้งแต่เมจิ โชวะ และเฮเซ สนุกไปกับการลิ้มรสความอร่อยและสังเกตความแตกต่างของยุคสมัยผ่านพุดดิ้งทั้ง 3 แบบ เป็นคอนเซปต์ที่น่ารักมาก ๆ เลยค่ะ ถ้าใครมีโอกาสไม่อยากให้พลาดกันเลยนะคะ ถ้าใครไม่สะดวกกินที่ห้องอาหาร ก็สามารถซื้อแบบสำเร็จรูปที่ร้านขายของฝากของโรงแรมได้เช่นกันค่ะ



พอได้ลองทัวร์ภายในโรงแรมกันแล้ว รู้สึกอยากมาพักที่นี่กันไหมคะ
แต่ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่โรงแรมแห่งนี้ควรเป็นจุดหมายปลายทางของทุกคน
อะไรจะดีไปกว่าที่พักอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยว เดินทางสะดวก และสามารถเดินเล่นหาของกินได้อีกด้วย
เพียงแค่เดินออกจากโรงแรมประมาณ 200 เมตร ก็จะพบกับสะพานแดงชินเคียวอันโด่งดัง


หรือเดินไปอีกหน่อยก็จะเป็นบริเวณของศาลเจ้านิกโกโทโชงู


อีกทั้งถนนบริเวณหน้าโรงแรมก็สามารถเดินเล่น ซื้อของฝาก แวะรับประทานอาหารหรือขนมกันได้เพลิน ๆ และอย่าลืมกินยูบะหรือฟองเต้าหู้ ของขึ้นชื่อของเมืองนี้ เช่น ร้าน Nikko Yubamaki ZEN





แค่นี้ก็ครบจบตามความต้องการของนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ แล้วล่ะค่ะ
ใครที่เดินทางมาเที่ยวเมืองนิกโก ก็สามารถเก็บโรงแรมนี้ไว้เป็นตัวเลือกได้นะคะ

รับรองว่าจะได้รับความประทับใจกลับไปแน่นอน