BLOG

บทความ

“นางาซากิ” รักแรกพบ

“นางาซากิ” รักแรกพบ

ชื่อนี้ไม่ว่าใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์เป็นต้องคุ้นหูกันแน่นอนค่ะ
นอกจากโตเกียวแล้ว นางาซากิอาจจะเป็นจังหวัดที่สองในญี่ปุ่นที่เรารู้จักเลยก็ว่าได้ค่ะ

ย้อนไปเมื่อปี 2557 ปีแรกที่เข้ามาฝึกงานที่บริษัท โคริ แพลนนิ่ง จำกัด ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อว่าบริษัท แพลนเนเชีย จำกัดค่ะ งานแรกที่ได้ทำเลยคือ การตรวจเอกสารท่องเที่ยวของจังหวัดนางาซากิเล่ม Huis ten bosch ค่ะ กว่าจะออกมาเป็นโบรชัวร์ หรือใบปลิวหนึ่งเล่มนั้น ต้องผ่านการตรวจอย่างเข้มงวดเลยค่ะ

ตอนนั้นยังคงเป็นเด็กใหม่อยู่ก็นึกสงสัยว่าให้ทำงานสำคัญขนาดนี้เลยหรือ พี่ที่ดูแลในตอนนั้นก็บอกว่าถ้าคนเดียวอ่านโอกาสที่จะเจอจุดผิดก็จะน้อยลง ในขณะที่ยิ่งหลายตาช่วยกันอ่านจะยิ่งช่วยเจอจุดผิดที่อาจมองข้ามไปได้ และการตีพิมพ์แต่ละครั้งคือหลักพัน ถ้าเจอจุดผิดที่หลังโรงงานนรกก็จะบังเกิดขึ้นค่ะ เพราะพวกเราต้องช่วยกันแปะสติ๊กเกอร์ขนาดกระจิดริดที่ตัดด้วยแรงงานมนุษย์ ค่อยๆ แปะที่ละฉบับๆ เพื่อจะไม่ให้ป้องกันหายนะครั้งใหญ่ ควรจะทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรกค่ะ

เรียกได้ว่าในสมัยนั้นนางาซากิ คือด่านแรกที่เจอเลยค่ะ ทั้งตรวจใบปลิว ออกบูทแนะนำการท่องเที่ยว แจกใบปลิว ลูกค้าคนญี่ปุ่นคนแรกที่ได้เจอและได้คุยก็คือ จังหวัดนางาซากิค่ะ ตอนออกบูทเจ้าหน้าที่จากจังหวัดก็จะเดินทางมาที่ไทยเพื่อให้ข้อมูลโดยตรงกับนักท่องเที่ยวไทยโดยจะมีพี่ล่าม ((ที่พี่ชิเลือกมา)) ประจำอยู่ที่บูทค่ะ
เจ้าหน้าที่ของจังหวัดนางาซากิที่เคยเจอมาทุกคนน่ารักมากๆ ค่ะ โชคดีที่ได้เจอแต่คนดีๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ
ตอนนั้นที่เข้ามาฝึกงานที่บริษัทตรงกับโปรเจกต์ถ่ายทำเอ็มวีของวงละอองฟองที่นางาซากิพอดีเลยค่ะ พี่ชิก็ได้ให้โอกาสถอดคำอ่านภาษาญี่ปุ่นเป็นคำอ่านคาราโอเกะ ภาษาไทยใส่ในเอ็มวีค่ะ ซึ่งตอนนั้นยังเรียนอยู่พอกลับไปมหาลัยกิจกรรมหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการไปคาราโอเกะกับเพื่อนๆ และเพลงนี้เป็นเพลงโปรดของเพื่อนคนหนึ่ง การที่เห็นผลงานที่เรามีส่วนรวมมันก็ชวนให้รู้สึกใจเต้นเร็วแปลกๆ ดีนะคะ

เกริ่นเสียนานเลยนะคะ ^^;

เราได้ฟัง ดู อ่านเรื่องราวของนางาซากิมากมายผ่านทั้งเอกสารแนะนำการท่องเที่ยวต่างๆ วิดีโอโปรโมทท่องเที่ยวต่างๆ ผ่านสายตามุมมองของคนอื่น จนวันหนึ่งพี่ชิก็ได้หยิบยื่นโอกาสให้ได้ไปสัมผัสนางาซากิของจริงค่ะ พี่ชิมองว่าการที่ได้ไปสัมผัสด้วยตาของตัวเองจะทำให้ถ่ายทอดเรื่องราวได้ดีกว่า
ในที่สุดก็ได้มีโอกาสถ่ายทอดเรื่องราวให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ

การเดินทางครั้งนี้คือการเดินทางเพื่อไปเก็บข้อมูลมาโปรโมตการท่องเที่ยวผ่านทาง Facebook ของจังหวัดนางาซากิ ซึ่งตอนนั้นบริษัทเราดูแลค่ะ โดยตัวเอกของทริปนี้ก็คือ น้อง K. ผู้ดูแลเพจจังหวัดในขณะนั้น มีแนนและน้อง K. ไปกันเพียงสองคนจากไทย

เครื่องบินลงจอดที่สนามบินฟุกุโอกะ สนามบินหลักในภูมิภาคคิวชูในตอนเช้าของวันที่ 11 ตุลาคม 2561



พอผ่านการตรวจและรับกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว น้อง K. อาสาดูแลไปซื้อตั๋วรถบัส เพื่อไปยังนางาซากิให้ค่ะ


ทริปนี้พวกเราจะลองเที่ยวในเมืองนางาซากิ โดยรถรางและรถบัส ตามโบรชัวร์ Nagasaki Map ที่บริษัทเราแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาไทย ว่าใช้ได้จริงไหม

พอซื้อตั๋วแล้วก็มารอขึ้นรถบัสตามเลขชานชาลาเลยค่ะ



รอสักพักรถบัสก็มาแล้ว กระเป๋าเดินทางไว้ใต้ท้องรถจะได้นั่งที่นั่งสบายๆ ค่ะ จากสนามบินฟุกุโอกะ มานางาซากิใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ บนรถมี Free Wi-Fi ด้วยค่ะ *0*


ถึงแล้วค่ะ นางาซากิ!!!!!
สัมภาระต่างๆ พวกเราเอาไปเก็บไว้ในตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญค่ะ เพราะมาเร็วเกินกว่าจะเข้าไป Check-in ที่พักค่ะ


กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ก่อนอื่นเราไปหาอะไรลงท้องก่อนดีกว่าค่ะ


มาถึงช่วงเที่ยงพอดี ร้านอาหารแต่ละร้านคราคร่ำไปด้วยผู้คนเลยค่ะ
เรามองหาร้านอาหารที่คนไม่ค่อยเยอะและราคาเป็นมิตร
อาหารจานแรกที่กินในนางาซากิก็คือ “Tai-chazuke” แห่งร้าน “Osakana Kazoku Zakoya” เห็นในเมนูเขาเขียนไว้ว่าเมนูแนะนำเลยต้องลองค่ะ !!!





หลังจากเติมพลังให้กระเพาะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากสถานีนางาซากิ เราก็นั่งรถบัสไป Nagasaki Penguin Aquarium กันค่ะ


ไฮไลท์ของที่นี่คือ เราจะได้ใกล้ชิดกับเหล่าเพนกวินชนิดที่ว่าห่างกันเพียงคืบค่ะ
น่ารักจนใจเจ็บเลยค่ะ เจ้าเพนกวินตัวจ๊อย น่ารักจริงๆ >..<




กว่าจะเดินชมรอบๆ จนครบพิพิธภัณฑ์ก็จวนจะปิดพอดีเลยค่ะ
ได้เดินเล่นชมความน่ารักของเหล่าเพนกวินและผองเพื่อน มันช่างผ่อนคลายดีเสียจริงค่ะ
พวกเรานั่งรถบัสกลับไปยังสถานีนางาซากิอีกครั้งเพื่อเอาสัมภาระไปที่พักกันค่ะ
ที่พักคืนแรกของเราคือ Nagasaki House Burabura
อยู่ติดทะเลด้วยค่ะ !
คุณ G. เจ้าหน้าที่ของนางาซากิด้วยความเป็นห่วงจึงมาส่งพวกเราถึงที่พักเลยค่ะ


จากป้ายรถบัสเดินนิดหน่อยก็ถึงที่พักแล้วค่ะ


ฝั่งที่เกสเฮ้าส์หันออกไปนั้นจะได้ชมวิวตอนอาทิตย์ขึ้นด้วยค่ะ


หลังจากเอาของเก็บเข้าที่พักแล้วก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดิบพอดี
ช่างเป็นจังหวะที่ดีเสียจริงค่ะ ร้านที่เราตั้งใจไว้ว่าจะมากินนั้นวันนี้เขาหยุดพอดิบพอดี เพราะมีคนเหมาร้านไว้แล้ว

ไม่เป็นไรค่ะ เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นระหว่างเดินทางเสมอค่ะ
คืนแรกเรามาฝากท้องไว้ที่ซุปเปอร์มาเกตกันค่ะ อาหารมีให้เลือกมากมายเลยค่ะ




ระหว่างเดินกลับจากซุปเปอร์ก็พระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดินพอดีเลยค่ะ
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ หายลับไปหลังภูเขา…สวยจนไม่สามารถบรรยายได้เลยค่ะ




แท่นแด๊นนนน อาหารเย็นวันนี้เต็มไปด้วยอาหารทะเลเลยค่ะ



เช้าวันใหม่มาเยือนโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว
จากห้องพักมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้เลยค่ะ สวยจริงๆ


พวกเราเก็บของ Check-out แล้วออกจากที่พักแต่เช้า บรรยากาศเงียบสงบมากๆ เลยค่ะ


วันที่ 2 มีแผนจะไปสวนโกล์ฟเวอร์ กินจัมปง ไปนั่งเรือชมรอบๆ เกาะฮาชิมะ จากนั้นก็กลับมาเพื่อชมพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงเกี่ยวกับเกาะฮาชิมะค่ะ
ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษาและเรียนรู้ เห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยใจกับบรรยากาศและเรื่องราวในสมัยนั้น
มานั่งรถรางไปที่แรกด้วยกันเลยค่ะ


มาเริ่มกันที่สวนโกล์ฟเวอร์ คฤหาสถ์หรูของโทมัส เบลค โกลฟเวอร์ พ่อค้าชาวสก็อตแลนด์ ผู้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาลงหลักปักฐานที่เมืองนางาซากิค่ะ





หลังจากให้อาหารตา ได้เวลาไปเติมพลัง วันนี้เมนูมื้อเที่ยงของเราคือ “นางาซากิจัมปง”
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้แนะนำความเป็นมาของเมนูนี้ไปแล้วเป็นอย่างไรบ้างค่ะ เป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจเสียจริงค่ะ

เรื่องราวมากมายในวันนี้ที่แสนน่าจดจำ
กว่าจะไปถึงร้านอาหารก็ประมาณเกือบเที่ยง ร้านนี้คนแน่นขนัดตลอดเลยค่ะ เราต้องรอคิวสักพัก เมื่อคิวโดนเรียกก็นั่งประจำที่สั่งอาหารทันที ใช้เวลารอประมาณครึ่งชั่วโมง ทว่าพวกเราต้องรีบไปขึ้นเรือเพื่อที่จะไปชมรอบๆ เกาะฮาชิมะ กว่าอาหารจะมาเสิร์ฟ รวมๆ แล้วเรามีเวลาดื่มด่ำกับอาหารภายใน 15 นาที เพราะจากร้านเราต้องเดินไปที่ท่าเรืออีกค่ะ
เมื่อจัมปงและซาระอุด้งมาเสิร์ฟ เริ่มภารกิจถ่ายรูป ชิมเล็กน้อย จากนั้นได้เวลากินแบบจัดหนัก ด้วยความเป็นพี่เลยถามน้อง K. ว่าจะกินอะไร น้องเลือกที่จะกินซาระอุด้ง เมนูผัดที่เริ่มเย็นลงเล็กน้อย และมอบเมนูจัมปงที่ไม่มีวี่แววอุณหภูมิจะลดลงให้กับพี่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม จะโกรธก็โกรธไม่ลง ^^; เลยสูดเส้นและเป่าไปพร้อมๆ กันจนหมดภายใน 10 นาที ได้เวลาเดินจ้ำอ้าวไปที่ท่าเรือกันต่อ





ปริมาณอาหารในกระเพาะที่ล้นปรี่และจังหวะการเดินที่แทบจะกลายเป็นวิ่ง โชคที่ไม่ค่อยจะมีเพราะเจอไฟแดงสำหรับคนเดินหลายแยกมาก แต่แล้วในที่สุดเราก็เดินมาถึงท่าเรือและขึ้นเรือได้อย่างทันเวลาเส้นยาแดงผ่าแปด พอได้พักหายใจตอนรอต่อแถวขึ้นเรือค่ะ



ระหว่างที่เดินทางไปยังเกาะฮาชิมะ หรือกุนกังจิมะ ก็มีการเปิดวิดีโอแนะนำเกาะและมีคำบรรยายภาษาอังกฤษด้วยค่ะ


ปกติแล้วสามารถขึ้นไปชมบนเกาะได้ค่ะ แต่ตอนที่เรามานั้นโดนพายุไปทำให้ท่าเทียบเรือได้รับความเสียหาย พวกเราเลยได้วนชมรอบๆ เกาะฮาชิมะค่ะ แค่เห็นรอบๆ เกาะยังสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเกาะแห่งนี้เลยค่ะ ไม่แปลกใจที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกค่ะ






มองไกลๆ แล้วเหมือนรือรบจริงๆ เลยค่ะ สมแล้วที่ได้ชื่อว่า “เกาะเรือรบ”
พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วรู้สึกประทับใจจริงๆ ค่ะ

หลังจากที่กลับขึ้นฝั่งก็ไปกันต่อที่ Gunkanjima Digital Museum
พิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่จัดแสดงเรื่องราวบนเกาะฮาจิมะก่อนที่จะปล่อยให้รกร้างตามกาลเวลาค่ะ
แต่ละจุดจัดแสดงได้อย่างน่าสนใจเหมือนเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับคนบนเกาะ เรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ได้ฟังจากเด็กที่เคยวิ่งเล่นอยู่บนเกาะ ซึ่งตอนนี้ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่งดงามแล้วค่ะ




มื้อเย็นในที่สุดเราก็จะได้กินอาหารท้องถิ่นของนางาซากิกันค่ะ
เพลิดเพลินกับรสชาติของ “โตรุโกะ ไรซ์” (トルコライス)อาหารนางาซากิที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกดัดแปลงจนเป็นรสชาติของตัวเอง ที่ร้าน HIKARI NO RESTAURANT บนยอดเขาอีนาสะ จุดชมวิวยามค่ำคืนที่สวยงามติดอันดับโลก
น่าเสียดายมากเลยนะคะ ตอนนี้ร้านได้หยุดให้บริการแล้วค่ะ






ปิดท้ายวันได้อย่างงดงามเลยค่ะ ได้ทั้งอาหารตาและอาหารจริงๆ เลยค่ะ
นอนพักเอาแรงให้เต็มอิ่มพรุ่งนี้ตารางของเราอัดแน่นด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลก
เคยเจอแต่ในตำรา วันพรุ่งนี้จะได้เห็นของจริงแล้วค่ะ ตื่นเต้นจังเลยค่ะ ^^

เราตื่นเช้ามาที่ Peace Park เพราะเกรงว่าถ้ามาสายคนน่าจะแน่นน่าดูเลยค่ะ
ที่นี่เปิดให้เข้าชมตลอด เลยคิดว่ามาแต่เช้าเดินเล่นสูดอากาศเย็นๆ กันก็น่าจะดี




พอใกล้เวลาพิพิธภัณฑ์ Nagasaki Atomic Bomb Museum เปิดก็เลยเดินไปพิพิธภัณฑ์กันค่ะ สถานที่ทั้งสองอยู่ไม่ไกลกัน เดินได้สบายมากค่ะ



เมื่อเข้าไปในพิพิธภัณฑ์สิ่งแรกที่รอต้อนรับ หรือเรียกว่าเตือนสติผู้มาเยือนดีล่ะ
นาฬิกาที่เวลาหยุดเดินที่เวลา 11.02 น. และประโยค “Nagasaki must be the last place exposed to an atomic bomb.”


ในพิพิธภัณฑ์ก็จะแสดงไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ในตอนนั้นว่าทำไมถึงต้องมาลงที่นางาซากิ Fat man หน้าตาเป็นยังไง หลังจากที่ Fat man ทิ้งลงที่นางาซากิเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น หายนะและบาดแผลที่ฝากไว้กับนางาซากิและผู้คนมันรุนแรงขนาดไหน เพื่อระวังไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกไม่ว่าจะที่ไหนบนโลกก็ตาม






เป็นสถานที่อีกแห่งที่สร้างความสะเทือนใจและตระหนักรู้ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
ยิ่งได้มาเห็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ของจริงยิ่งทำให้รู้สึกได้ถึงความโหดร้ายของสงคราม
สงครามไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงไม่ว่าจะในฐานะผู้แพ้หรือผู้ชนะ
ฮีโร่ในสมัยนั้นอาจกลายเป็นเพียงอาชญากรในอนาคตก็เป็นได้ค่ะ
กลับกันคนที่โดนตราหน้าว่าผิดในวันนั้นอาจได้รับความเห็นใจจากคนในอนาคตก็เป็นได้ค่ะ
…………
…….

มื้อเที่ยงวันนี้เรามากินของเผ็ดเพื่อขจัดความเศร้ากันที่ร้าน “โนะซัง” เมนู ค่ะ
น่าเสียดายอีกครั้งค่ะ ตอนนี้ร้านนี้ก็หยุดให้บริการแล้วค่ะ T^T




จากนั้นก็ไปเดินย่อยที่สะพานแว่นตากันดีกว่าค่ะ



เผลอแพร่บเดียวพระอาทิตย์ก็จะตกดินเสียแล้ว
เย็นวันสุดท้ายเลยไปนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่ DEJIMA WHARF
ร้านรวงมากมาย สถานที่พักผ่อนนั่งชิลๆ ตอนเย็นของชาวเมืองค่ะ
บรรยากาศชวนให้สงบทั้งๆ ที่ผู้คนพลุกพล่าน…แปลกดีนะคะ




คืนสุดท้ายเรานอนเกสเฮ้าส์ใกล้ๆ สถานีนางาซากิเพราะต้องออกแต่เช้าเพื่อนั่งรถบัสไปสนามบินฟุกุโอกะค่ะ
เช้าวันต่อมาพวกเราออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ ฟ้ายังมืดสนิทก่อนจะรุ่งสาง
ถ้าเดินคนเดียวก็แอบน่ากลัวเล็กๆ ค่ะ


พอไปถึงสถานีรถบัสเจอเจ้าหน้าที่ T. ที่มารอส่งแต่เช้าพร้อมข้าวปั้นและน้ำให้กินบนรถระหว่างทาง
ทำไมคนที่นี่จิตใจช่างดีเหลือเกินค่ะนี้ ประทับใจมากๆ เลยค่ะ
นี่สินะ ของขวัญเซอร์ไพร์สชิ้นโตก่อนจะโบกมือลานางาซากิ

ระหว่างทางพระอาทิตย์ก็ขึ้นพอดีเลยค่ะ



นางาซากิ ดินแดนที่อบอวลไปด้วยความรัก และอบอวลด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ยังคอยย้ำเตือนให้เห็นถึงความร้ายแรงของสงคราม ความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกครั้งค่ะ

อีกหนึ่งจังหวัดที่ควรค่าแก่การมาเยือนอย่างยิ่งค่ะ
มารับความรักที่เต็มเปี่ยมและตามหา “หัวใจ” ที่นางาซากิกันนะคะ

สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในนางาซากิล้วนเป็นฉากสำคัญของประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงของโลก อาหารต่างๆ ล้วนมีที่มาไม่เหมือนใคร ข้อมูลและรายละเอียดติดตามได้ที่ Blog ของเรา หรือทาง Facebook เพจ Feel Japan ค่ะ