BLOG
บทความ
กรุงโตเกียว เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความทันสมัย ได้ซ่อนประวัติศาสตร์อันเก่าแก่เอาไว้
จะบอกว่า ‘ซ่อน’ ก็คงไม่ถูกนัก เพราะเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก เคยได้ยินชื่อ หรือใครมาเที่ยวโตเกียวก็ต้องมีสถานที่แห่งนี้อยู่ในลิสต์แน่นอน แต่ความเก่าแก่และความขลังกลับกลมกลืนไปกับยุคสมัยได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว
ที่นี่คือ “วัดเซนโซจิ” หรือที่คนไทยคุ้นหูกันในชื่อ “วัดอาซากุสะ” ค่ะ (และน่าจะมีอีกชื่อหนึ่งคือ “วัดโคมแดง” 555)
วัดที่มีโคมแดงใหญ่โตแขวนอยู่ตรงประตูวัดสีแดงเป็นสง่า จุดถ่ายรูปยอดฮิตที่เรียกได้ว่าเป็นภาพจำของใครหลาย ๆ คนสำหรับย่านอาซากุสะหรือโตเกียวเลยก็ว่าได้
© Sensoji Temple
หรือจะเป็นกระถางธูปใหญ่ ๆ พร้อมควันโขมงและคนรุมล้อม
© Matcha
ถึงแม้จะรู้จัก เคยเห็น หรือเคยไปวัดที่เปรียบเสมือนแลนด์มาร์กของโตเกียวแห่งนี้แล้ว
แต่เรารู้จักวัดแห่งนี้มากน้อยแค่ไหนกันนะ?
ที่นี่มีประวัติความเป็นมาอย่างไร?
จุดถ่ายรูปยอดฮิตของวัดแท้จริงแล้วคืออะไร?
และสิ่งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?
วันนี้จะพาทุกคนเดินทัวร์วัดเซนโซจิ ตั้งแต่ประตูวัดไปยังอุโบสถหลัก ค้นหาความหมาย ประวัติศาสตร์ และเสน่ห์ที่ซ่อนไว้ในแต่ละจุดของวัดแห่งนี้กันค่ะ
หากใครต้องการมาเที่ยวที่วัดเซนโซจิ เพียงนั่งรถไฟมาลงที่สถานีอาซากุสะ (Asakusa Station) เดินต่อประมาณ 5 นาทีก็จะพบกับประตู “คามินาริมง” หรือประตูโคมแดงใหญ่รอต้อนรับเราอยู่ค่ะ
ก่อนอื่นเรามาย้อนเวลากลับไปเมื่อราว 1,400 ปีที่แล้ว ณ จุดเริ่มต้นของวัดเซนโซจิกันค่ะ
ตอนเช้าของวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 628 สองพี่น้องชาวประมงคู่หนึ่งออกจากบ้านมาจับปลาที่แม่น้ำสุมิดะเป็นปกติเหมือนกับทุกวัน แต่แปลกตรงที่วันนี้ไม่สามารถจับปลาได้อย่างเคย ไม่ว่าจะหว่านแหกี่ครั้ง ก็ไม่ได้ปลาเลยสักตัว จนกระทั่งหว่านแหรอบนี้มีรูปปั้นขนาดเล็กมาก ๆ เพียงแค่ประมาณ 5 เซนติเมตรเท่านั้นติดมาด้วย ทั้งคู่ไม่ได้ให้ความสนใจจึงโยนกลับลงแม่น้ำตามเดิมและหว่านแหเพื่อจับปลาต่อไป แต่เรื่องน่าพิศวงก็เกิดขึ้น หลังจากนั้นทุกครั้งที่หว่านแหก็จะมีรูปปั้นเดิมติดมาทุกครั้ง สองพี่น้องชาวประมงจนใจจึงนำกลับไปที่บ้านด้วยและได้นำไปให้ผู้ใหญ่บ้านดู ปรากฏว่ารูปปั้นนั้นคือองค์เจ้าแม่กวนอิมนั่นเองค่ะ
หลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านได้อุทิศตนเพื่อศาสนาพุทธ ดัดแปลงบ้านของตัวเองให้กลายเป็นวัด และอุทิศชีวิตที่เหลือของตัวเองสักการะเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ จากบ้านที่กลายเป็นวัด พัฒนามาเรื่อย ๆ ด้วยแรงศรัทธาของผู้คนจนกลายมาเป็นวัดเซนโซจิอันศักสิทธิ์ในปัจจุบัน
เรื่องราวความเป็นมาของวัดเซนโซจินี่ถือว่าเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง ผูกพันธ์กับชาวเมืองมาตั้งแต่ในอดีตเลยค่ะ ไม่แปลกใจที่ไม่ว่าทั้งชาวญี่ปุ่นหรือต่างประเทศก็นิยมเดินทางมาสักการะอย่างคับคั่งในทุก ๆ วัน
กลับมาที่ประตูโคมแดงกันอีกครั้ง
© Sensoji Temple
จุดเช็คอินสุดฮิตของนักท่องเที่ยวที่ภายใต้ความสวยงามเด่นสะดุดตานี้ ก็มีเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของวัดเซนโซจิซ่อนอยู่ด้วยเช่นกันค่ะ
ในอดีตประตูวัดแห่งนี้ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้อยู่หลายครั้งหลายครา ถึงแม้จะได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ แต่ในปี ค.ศ. 1865 ประตูก็ได้ถูกทำลายลงจากเพลิงไหม้อีกครั้ง และหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการปรังปรุงหรือสร้างใหม่ กลายเป็นวัดที่ไม่มีประตูจากนั้นมา จนกระทั่งคุณโคโนสุเกะ มัตสึชิตะ ผู้ก่อตั้งบริษัทพานาโซนิก เขามีอาการเจ็บป่วยที่รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ได้มาขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมที่วัดเซนโซจิแห่งนี้เพื่อขอให้เขาหายจากอาการเจ็บป่วย
ไม่น่าเชื่อว่าคำขอพรของเขาเป็นจริง หลังจากนั้นคุณโคโนสุเกะ มัตสึชิตะก็ได้หายจากอาการเจ็บป่วย และด้วยความศรัทธาที่มีต่อเจ้าแม่กวนอิมและวัดแห่งนี้ เขาจึงได้สร้างประตูคามินาริมงอุทิศให้กับวัดเซนโซจิในปี ค.ศ. 1960 เพื่อเป็นการขอบคุณ
จากวัดที่ไม่มีประตูมาเป็นเวลา 95 ปี กลายมาเป็นจุดเช็คอินและแลนด์มาร์กที่สำคัญของวัดรวมถึงโตเกียวในปัจจุบัน
ชื่อประตู “คามินาริมง” จริง ๆ แล้วไม่ใช่ชื่อโดยกำเนิดของประตูโคมแดงนี้ แต่คือ “ฟูไรจินมง” ที่หมายถึงประตูเทพแห่งสายลมและสายฟ้าที่มีรูปปั้นประดิษฐานอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของประตู แต่เรื่อยมาก็มีการกร่อนคำในภาษาญี่ปุ่นและกลายมาเป็นชื่อประตูคามินาริมงในปัจจุบันค่ะ
ส่วนโคมแดงใหญ่ยักษ์นี้ มีขนาดสูง 3.9 เมตร กว้าง 3.3 เมตร และหนักถึง 700 กิโลกรัม ถือว่าใหญ่มากเลยทีเดียว แต่นอกจากโคมแดงที่เด่นสะดุดตาแล้ว หากใครได้มีโอกาสไปเยือนขอให้ลองมองขึ้นไปบริเวณฐานของโคมแดงดูค่ะ จะพบกับประติมากรรมแกะสลักรูปมังกรที่วิจิตรงดงามอยู่ด้วย
© Sensoji Temple
ทำไมต้องเป็นมังกร?
มังกรในความเชื่อของญี่ปุ่นถือว่าเป็นเทพแห่งน้ำ ด้วยความที่ประตูวัดแห่งนี้ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้มาหลายต่อหลายครั้ง การแกะสลักรูปมังกรเอาไว้ก็เหมือนมีเทพแห่งน้ำคอยดูแลรักษาประตูนี้ค่ะ
หลังจากถ่ายรูปกับประตูคามินาริมงเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเข้าไปสำรวจวัดแห่งนี้กัน!
เมื่อเดินผ่านประตูวัดก็จะเจอกับถนนลาดยาวลึกเข้าไปด้านใน ระยะทางราว ๆ 250 เมตรที่จะพาเราเข้าสู่ตัววัด
ถ้าเดินเฉย ๆ ก็อาจจะใช้เวลาไม่นาน แต่เชื่อว่าใครก็ตามที่มาเยือนวัดเซนโซจิในช่วงเวลาสายถึงเย็นล่ะก็ต้องเผื่อเวลาไว้ (เยอะ ๆ) หน่อยค่ะ เพราะว่าระหว่างทางนั้นจะเรียงรายไปด้วยร้านค้ามากมายทั้งสองฝั่งเกือบ 90 ร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านขนมหวาน ร้านของกินเล่น ร้านขายสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่น ร้านขายของฝาก ละลานตาไปหมด กว่าจะรู้ตัวก็ใช้เวลาตรงนี้ไปซะเยอะเสียแล้ว ยังเดินไม่ถึงวัดสักทีค่ะ 555
ถนนเส้นนี้มีชื่อเรียกว่า “ถนนชอปปิงนากามิเสะ” หรือ Nakamise Shopping Street ซึ่งโดยปกติคำว่า “นากามิเสะ” เป็นชื่อเรียกถนนชอปปิงบริเวณใกล้กับวัดและศาลเจ้า แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ที่นี่ที่เดียวค่ะ แต่ถนนนากามิเสะของวัดเซนโซจิ ถือว่าเป็นที่ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานที่สุดและโด่งดังที่สุดในญี่ปุ่นค่ะ
บรรยากาศของถนนนากามิเสะที่เราเห็นกันตามอินเตอร์เน็ตก็จะจอแจไปด้วยผู้คน ครึกครื้นดูมีชีวิตชีวา (ไปจนถึงหนาแน่น) ใช่ไหมคะ
แต่ใครที่ไม่อยากเบียดเสียด ชอบเที่ยวแบบสงบ ๆ หรือสถานที่ที่คนไม่เยอะ ก็อย่าเพิ่งตัดวัดเซนโซจิออกไปจากโปรแกรมเลยนะคะ เราสามารถมาเที่ยววัดเซนโซจิในบรรยากาศเงียบสงบได้เช่นกัน เพียงแค่ต้องเลือก “เวลา” ให้ถูกค่ะ
★ Tips ในการเที่ยววัดเซนโซจิแบบที่คนไม่เยอะ
แนะนำให้มาแต่เช้าหรือตอนกลางคืนค่ะ
โดยปกติร้านค้าบริเวณถนนนากามิเสะจะเปิดประมาณ 10.00 – 19.00 น. ขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน ถ้าหากมาในเวลานอกเหนือจากนั้นผู้คนก็จะค่อนข้างบางตาค่ะ แต่กลับกันเราก็จะไม่ได้ชอปปิงหรือรับประทานของกินที่ปกติจะมีมากมายบริเวณนี้ อาจจะมีบางร้านที่เปิดเร็วหรือปิดช้า ใครสะดวกแบบไหนก็เลือกเที่ยวได้ตามสบายเลยค่ะ
บรรยากาศในตอนเช้าประมาณ 8-9 โมง ก็จะมีร้านขายของที่ระลึกเปิดอยู่บ้างค่ะ
บรรยากาศในตอนกลางคืน
ถ้าคิดว่ามาตอนกลางคืนจะไม่มีอะไร ขอบอกว่าคิดผิด!
ตอนกลางคืนก็สามารถมาดื่มด่ำบรรยากาศที่วัดเซนโซจิได้เช่นกันนะคะ
บริเวณประตูคามินาริมงจะมีการจัดไฟไลต์อัพ นอกจากตอนเช้าแล้วตอนกลางคืนก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน ใครอยากมาเก็บภาพมุมใหม่ ๆ ของโคมแดงก็ขอแนะนำให้มาตอนกลางคืนค่ะ คนไม่เยอะด้วย
นอกจากนั้นบริเวณถนนนากามิเสะร้านค้าก็จะปิดหมด แต่ประตูเหล็กม้วนของร้านค้าแต่ละร้านจะมีสิ่งที่น่าสนใจซ่อนอยู่ค่ะ
เมื่อทุกร้านค้าปิดประตูลงมา ก็จะพบกับประตูเหล็กม้วนที่เรียงต่อกันราวกับผ้าใบผืนยาว ถูกแต่งแต้มไปด้วยภาพวาดอันงดงามที่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ทอดยาวตลอดระยะทาง 250 เมตร
เรียกว่าเป็น UNZEEN ของวัดเซนโซจิเลยก็ว่าได้ ใครที่ไม่รู้จะไปเที่ยวไหนในย่านอาซากุสะตอนกลางคืน แนะนำให้มาเพลิดเพลินกับบรรยากาศสงบ ๆ ของวัดและศิลปะบนประตูร้านค้ากันได้นะคะ
ซึ่งการเปิดไฟไลต์อัพที่วัดเซนโซจิ รวมถึงประตูคามินาริมง จะเปิดถึงเวลา 23.00 น. ค่ะ
ตอนเช้าก็สามารถมาชมศิลปะบนประตูร้านค้าได้เหมือนกันค่ะ
และนอกจากที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ที่วัดเซนโซจิยังมีมุมถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาดอีกมุมนึงค่ะ
มุมถ่ายรูปที่เห็นการผสมผสานระหว่างยุคสมัยเก่าและสมัยใหม่ของโตเกียวได้อย่างลงตัว
“TOKYO SKYTREE” และ “วัดเซนโซจิ”
จากภายในวัดเซนโซจิ เราสามารถถ่ายรูปสถาปัตกรรมของวัดที่มีกลิ่นอายความดั้งเดิมและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ โดยมี TOKYO SKYTREE แลนด์มาร์กอีกหนึ่งแห่งของโตเกียวที่แสดงถึงความทันสมัยเป็นฉากหลัง
จุดถ่ายรูปที่มีเสน่ห์น่าสนใจและน่าจะถูกใจสายถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่งเลยล่ะค่ะ
ได้รู้จักประวัติความเป็นมาของวัดเซนโซจิกันไปแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างคะ
เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ แต่ก็ยังมีอะไรอื่น ๆ ที่น่าสนใจให้มาท่องเที่ยวเพลิดเพลินกันอีกด้วย ไม่แปลกใจว่าทำไมวัดเซนโซจิถึงที่เป็นสถานที่ที่ฮอตฮิตทั้งในหมู่คนญี่ปุ่นและคนต่างชาติค่ะ
แต่ยังไม่หมดแค่นี้เพราะภายในวัดเซนโซจิยังมีอีกหลาย ๆ มุมให้ทุกคนมาทำความรู้จักให้ลึกซึ้ง
ใครที่เป็นสายมูห้ามพลาด เราจะไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมกันค่ะ ^^