BLOG

บทความ

สุขาอยู่หนใด

สุขาอยู่หนใด

ในฤดูร้อนที่ร้อนระอุช่วงปลายเดือนกรกฎาคม
ช่วงเวลาที่จะได้เจอทั้งร้อนและฝน


ในวันนั้นเป็นการเดินทางเที่ยวชมสถานที่ในตัวเมืองของจังหวัดคางาวะ ตัวคนเดียวครั้งแรก
จุดหมายปลายทางในวันนั้นคือ “บุชโชซัง” (仏生山) ย่านเก่าแก่ของคางาวะที่สามารถเดินเล่นชมอาคารหลังเก่า และคาเฟ่ในสมัยใหม่ได้พร้อมกัน






พยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นเขาว่าแม่นยิ่งกว่าแม่น เห็นว่าฝนจะตก เลยเตรียมอุปกรณ์กันฝนเรียบร้อยอย่างไม่ต้องกังวล
ซื้อตั๋วรถไฟพร้อมออกเดินทาง



เมื่อถึงสถานีรถไฟท้องถิ่น Kotoden สถานี Busshosan ตัดสินใจเข้าห้องน้ำที่สถานีให้เรียบร้อยเพื่อจะได้เดินทางต่ออย่างปลอดภัยไร้กังวล…



จุดหมายแรกที่จะไป คือ โรงอาบน้ำสาธารณะบุชโชซังออนเซ็น (仏生山温泉)



โรงอาบน้ำสาธารณะ ร้านอาหาร และคาเฟ่ ที่ใช้น้ำออนเซ็นธรรมชาติจากย่านนี้ที่ชาวบ้านใช้มายาวนาน



อาคารสร้างขึ้นใหม่ในสไตล์โมเดิร์น ที่นี่เราจะกินน้ำแข็งไส หรือเรียกว่า “คาคิโกริ” (かき氷) ราดคุโระมิสึ (黒蜜) คล้ายๆ น้ำตาลอ้อยนั่นเอง รสชาติเย็นชื่นใจดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี



นั่งพักสักครู่เผื่อเข้าห้องน้ำ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็มาตามนัด เลยแว่บเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย
จุดหมายต่อไปคือวัดโฮเน็นจิ (法然寺) เดินเรียบไปตามถนน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ดวงอาทิตย์เกือบจะตรงหัว ยกน้ำดื่มเล็กน้อยเพื่อดับกระหาย


ฤดูร้อนของญี่ปุ่นนั้นน่ากลัวกว่าฤดูร้อนที่ไทยเพราะไม่มีลมพัด โอกาสที่จะเป็นลมแดดค่อนข้างสูง
ถ้าใครไปเที่ยวช่วงฤดูร้อนตกพกน้ำดื่มติดกระเป๋าไว้






แม้จะมีเมฆมากแต่ท้องฟ้าก็ยังสดใสจนเริ่มสงสัยว่าฝนจะตกจริงไหม




และแล้วก็ถึงวัดโฮเน็นจิ บรรยากาศรอบๆ วัดเงียบสงบจนเงียบสงัด
เจดีย์ 5 ชั้นสัญลักษณ์ของวัด และโคมไฟหินเป็นทางที่จะพาไปยังสุสานของตระกูลมัตสึไดระ





ก่อนออกมาจากวัดอยากเข้าห้องน้ำ แต่ไม่รู้ว่า “สุขาอยู่หนใด” และไม่รู้จะถามใคร
เลยตัดสินใจเดินกลับไปเข้าที่สถานี



ระหว่างเดินกลับท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส พระอาทิตย์เหมือนโดนกองทัพเมฆบดบัง เหมือนเดินอยู่ใต้เงาเมฆ
อ่า… ช่างร่มรื่นดีเสียจริง

ความดีใจเพียงชั่วขณะ ได้หายไปในชั่วพริบตา
เมื่อเม็ดฝนโปรยปรายจากฟากฟ้า… ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
จึงหยิบร่มออกมากางโดยไม่กังวลใดๆ

แต่แล้ว… เหมือนฟ้าฝนกลัดกลุ้มเทลงมาไม่ยี่หระคนข้างล่าง

จำได้ว่าแถวๆ นี้มีร้านเค้กเล็กๆ ในย่านนี้ที่เขาแนะนำกันมา ประจวบกับเมฆฝนในร่างกายเริ่มตั้งเค้า จึงเข้าไปข้างในร้านเพื่อจะขอเข้าห้องน้ำ


เมื่อเดินไปที่เคาท์เตอร์สั่งขนมและน้ำ และถามอย่างมีความหวังว่า “ที่นี่มีห้องน้ำไหมคะ”


พนักงานส่งสายตาเศร้าและเอ่ยออกมาว่า “ขอโทษค่ะ ไม่มีค่ะ”

(อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ… )

พร้อมกับเดินมานั่งที่เก้าอี้ สักพักขนมและเครื่องดื่มก็มาเสิร์ฟ
(ช่างน่ากินเสียจริงๆ)


พายุฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่มีทีท่าว่าจะซาลง
เมฆฝนในร่างกายที่ก่อตัวพร้อมจะเทลงมา…

เค้กเลม่อนจากทะเลในเซโตะ และเค้กพีชของคางาวะ ของหวานที่ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น
ความอร่อยที่โดดเด่น จนอยากจะดื่มด่ำกับรสชาติ ค่อยๆ ละเลียดกับรสชาติ



แต่สายตากลับจ้องมองผ่านกระจก ออกไปข้างนอก
(ฝนซาลงหรือยังนะ…)

รีบกินเผื่อฝนซาลง หรือหยุดตกจะได้ออกไปเลย
น้ำอีกหนึ่งแก้วได้เติมลงไปเหมือนเพิ่มมวลให้ก้อนเมฆในร่างกาย…
อากาศเย็นจากด้านนอกเหมือนทะลุกระจกเข้ามารวมพลังกับแอร์ด้านใน

สถานที่ที่แสนสบาย แต่ทำไมกลับรู้สึกทรมาณพิลึก

ท้องฟ้าเหมือนเริ่มสบายใจไม่โกรธเหมือนตอนแรก
จากสายฝน เป็นเม็ดฝน จนกลายเป็นหยาดฝน


สองเท้าก้าวยาวออกจากร้านและมุ่งหน้าสู่สถานีอย่างมีความหวัง
โอ้… เจ้าเมฆฝนอดทนเอาไว้นะ

เพียงชั่วอึดใจก็ถึงสถานี…
สุขาอยู่หนใด… อ่อ.. อยู่นี่เอง
เข้าใจแล้วว่าทำไมจึงเรียกว่า “สุขา”
แม้จะทราบที่มาว่า มาจากห้องที่สร้างโดยกรมศุขาภิบาล หรือกรมศุขา ที่แปลว่า การบำรุงรักษาความสุข ซึ่งภายหลังเรียกว่า สุขาภิบาล และคำนี้ก็มาจากการสนธิของ สุข + อภิบาล สุขซึ่งหมายถึง สบายกายสบายใจ และอภิบาล คือ การดูแลรักษา ปกป้องรักษาให้คงอยู่ไว้

เมฆฝนในร่างกายที่โดนพัดหายไปในพริบตา
นี่สินะ ผู้พิทักษ์ความสุขกายสบายใจที่แท้จริง



สวัสดีปีใหม่อีกครั้งนะคะ
มีความสุขในวันหยุดค่ะ