BLOG
บทความ
สวัสดีค่ะ ทุกคนสบายดีมั้ยคะ ฉันคือเด็กอินเทิร์นหมายเลข 2 ที่อยากจะมาเล่าชีวิตก่อนที่จะฝึกงานที่บริษัทโคริ และประสบการณ์ของการฝึกงานในช่วงสามสัปดาห์แรกเป็นมายังไงบ้าง !?
ตอนนั้น ตอนที่สัมภาษณ์ ฉันเป็นคนลำดับสุดท้ายในการสัมภาษณ์ พอเข้าไปก็แอบเกร็ง และรู้สึกกดดัน เพราะทุกคนในบริษัทต่างก็เข้ากล้องที โผล่ซ้ายที โผล่ขวาที แถมมีประธานมานั่งด้วย แต่พี่แนนก็บอกว่า “ไม่ต้องกดดันนะคะ” แล้วนึกว่าต้องสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่น เลยเตรียมตัวไว้นิด ฉันโดนถามเรื่องต่าง ๆ เช่น เรื่องเคยไปญี่ปุ่นมั้ย สนิทกับใครที่สุด งานอดิเรก หรือแม้เเต่คำถามเบสิกที่ทุกคนจะต้องตอบให้ได้ว่า ทำไมถึงเลือกบริษัทนี้ ด้วยความที่ตัวเองเรียนสายภาษาญี่ปุ่นกับท่องเที่ยว และก็อยากจะใช้ความรู้ภาษาญี่ปุ่นในการทำงานด้วย
ฉันตอบคำถามไปแบบนั้นค่ะ แล้วก็คุยเรื่องต่าง ๆ ฉันพยายามใช้ภาษาญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุด หลังจากที่ฉันสัมภาษณ์เสร็จไม่นาน ฉันก็ได้รับข่าวดี ฉันกับเพื่อนไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะได้มีโอกาสฝึกงานที่นี่ เเละหลังจากนั้น ฉันกับเพื่อนวุ่นวายกับเอกสารเพื่อดำเนินการขอฝึกงาน แต่ก็มีติดปัญหาบางอย่าง ซึ่งฉันกับเพื่อนก็พยายามแก้ไข จนกระทั่งไม่มีปัญหาเเล้วจนรู้สึกโล่งใจ พอถึงวันที่จะต้องเดินทาง พวกเราเดินทางด้วยรถไฟด่วนพิเศษ ฉันกับเพื่อนเดินทางมาก่อนกำหนดของการฝึกงาน ตั้งเจ็ดวัน ได้ไปสถานที่หลายแห่ง อย่างเช่น วัดโพธิ์ ตะลุยสามย่านเพื่อเจอไอดอลที่ชอบ และก่อนถึงวันฝึกงานฉันกับเพื่อนค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้น ได้แต่กังวลว่าจะทำได้มั้ยนะ
….จนเมื่อถึงช่วงวันแรกของสัปดาห์แรก ฉันก็เริ่มได้ฝึกงานและได้รับมอบหมายงานมา 3 งาน ตอนนั้นก็เริ่มมีความรู้สึกว่าค่อนข้างหนักสมองเลยค่ะ เพราะด้วยความที่ว่าไม่เข้าใจเนื้อหา (เนื้อหาเป็นภาษาญี่ปุ่น อ่านไม่เข้าใจบางคำ) และตอนที่เริ่มทำก็รู้สึกปวดหัว ปวดตาด้วย เพราะไม่เคยจ้องจอโน้ตบุ๊กนานขนาดนี้ วันแรก ๆ ฉันไม่กล้าถามพี่ ๆ เกี่ยวกับงานหรือแม้แต่รบกวน (รู้สึกเกร็งมากแบบ 300%) และอีกทั้งงานที่ทำแต่ละงานเป็นเปรียบเสมือนไฟกำลังไหม้บ้านทั้งหลัง ฉันกับเพื่อน (เด็กอินเทิร์นหมายเลข 1) อารมณ์แบบ ถือแค่แก้วน้ำช่วยกันดับไฟให้ทัน แต่ก็ต้องขอบคุณพี่ ๆ ที่ช่วยหาทางออกให้ จนทำให้ฉันกับเพื่อนสามารถที่จะดับไฟไหม้นั้นได้ทันเวลาพอดีค่ะ //กราบแบบสวย ๆ และสัปดาห์แรกเป็นสัปดาห์ที่ฉันกับเพื่อนต้องศึกษาโปรแกรมไปด้วยค่ะ เพราะฉันกับเพื่อนคือไม่เก่งโปรแกรมในคอมเลย จึงเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ควบคู่ไปกับการเรียนการศึกษาข้อมูลจังหวัดในประเทศญี่ปุ่นไปด้วยค่ะ ฉันมักจะหันไปคุยกับเพื่อนอยู่เสมอ บางทีก็ปรึกษาเรื่องงาน และคุยนอกเหนือจากเรื่องงาน แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องงานมากกว่า ตอนที่ทุกคนทำงาน บรรยากาศรอบ ๆ มักจะเงียบ ได้ยินแต่เสียงกดแป้นกับเมาส์อยู่ตลอดเวลา แต่ฉันกับเพื่อน เราแค่กระซิบก็ได้ยินไปทั่วแล้ว และตาของฉันแอบเห็นว่าพี่ชอบแอบมองด้วยนะ ตอนคุยกันน่ะ (คิดไปเองละมั้ง ฮ่า ๆ )
และก่อนที่จะจบสัปดาห์แรกนั้น พี่ ๆ ในบริษัทก็ยังสอนสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลาพักเที่ยงต้องมานั่งกินข้าวด้วยกัน หรือแม้แต่งานจิปาถะเล็กน้อยให้ฉันกับเพื่อนได้รับรู้ว่า ปกติบริษัทของเรานั้นจะเป็นแบบนี้นะ และทุกครั้งที่ถึงเวลาเลิกงาน ก็จะชอบหันไปมองเจ้าอากะเบะโกะ มองไปหาวัวแดงทีไร ก็จะบอกกับเพื่อนทุกครั้งว่า มันน่ารักมาก แล้วคอของเจ้าวัวแดงสามารถดุ๊กดิ๊ก ๆ ได้ด้วย เวลามองน้องก็บ่นกับตัวเองว่า มันน่ารักมาก ๆ
พอเริ่มช่วงสัปดาห์ที่สอง เป็นสัปดาห์ที่ฉันมีความรู้สึกว่า ตัวเองผ่อนคลายลงกว่าสัปดาห์แรก แต่สัปดาห์นี้พี่ ๆ มีความงานยุ่งกว่าปกติ เพราะว่าสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ของงานอิเวนต์ และต้องเตรียมตัวดูแลคนญี่ปุ่นที่จะมาฝึกงานด้วย ฉันกับเพื่อนต้องช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเรื่องต่าง ๆ เพราะด้วยความที่อยู่ที่ตึกเดียวกัน เวลาจะต้องไปทำงานก็ต้องไปด้วยกันค่ะ อารมณ์เหมือนเป็นบัดดี้ และก่อนที่จะหมดสัปดาห์ ทุกคนในบริษัทต่างก็ช่วยกันติดมาร์กจุดแผนที่ในจังหวัดฟุกุชิมะ จนทุกคนกลับค่ำไปนิดหน่อย (จริง ๆ ก็ไม่นิดหรอกนะ)
และแล้วก็ถึงวันงาน ฉันกับเพื่อน เราสองคนออกเดินทางตั้งแต่เช้าเพื่อไปเจอทุกคนที่งานอิเวนต์ ทุกคนต่างก็ช่วยกันจัดบูธ รวมไปถึงการดูแลลูกค้าค่ะ ระหว่างนั้นฉันก็ได้รับบทเป็นไกด์นำเที่ยวด้วยนะ
และเข้าสู่สัปดาห์ที่สามของการฝึกงาน สัปดาห์นี้พ่วงด้วยอิเวนต์ทั้งสองวัน อีกทั้งวันที่สาม ฉันก็ได้รับหน้าที่คือ การไปรับลูกค้าที่โรงแรมมาที่บริษัท ทุกคนต่างวุ่นวายในการจัดความเรียบร้อย และพี่ ๆ (ตอนนี้ติดโควิด) เหลือแค่พี่แนนคนเดียว บรรยากาศตอนกินข้าวกลางวันก็จะดูเหงา ๆ เป็นพิเศษหน่อยนะ เพราะว่าพี่แนนแยกไปกินข้าวคนเดียว (กักตัว) และตอนเย็น พวกเราเลยจำเป็นที่จะต้องหอบของเพื่อทำงานแบบ WFH (WORK FROM HOME) ครึ่งสัปดาห์ของสัปดาห์ที่สาม ตอนที่ได้ทำ WFH วันแรกก็วิ่งวุ่นอยู่นิดหน่อย เนื่องจากคนญี่ปุ่นไม่สบาย เลยจำเป็นต้องซื้อยาและข้าวให้ แต่สิ่งที่กังวลคือ การที่ซื้อยาของไทยให้เขากิน (เพราะว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เขาไม่ถูกกับยาบ้านเรา) เลยต้องเช็คถามอาการทุกครั้งว่า ท้องเป็นอะไรมั้ย มีอาการอื่นหลังจากกินยารึเปล่า พอหายห่วงแล้ว ฉันกับเพื่อนก็กลับมาทำงานต่อ สิ่งที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายในการทำงานที่สุดก็คือเสียงเพลงค่ะ เลยทำให้บรรยายกาศรอบ ๆ ผ่อนคลายด้วยเช่นกัน สำหรับฉันแล้วการที่ทำงานไปด้วย ฟังเพลงไปด้วยทำให้ตัวเองรู้สึกว่าโฟกัสกับงานตรงหน้ามากขึ้น แต่คงไม่ใช่ชั่วโมงเร่งรีบแน่ ๆ และถึงแม้จะรู้สึกโฟกัสกับงานมากขึ้นก็จริง แต่ก็มักที่จะโยกหัวไปมาตามเสียงเพลงด้วยเช่นค่ะ ฮ่า ๆ
จนมาถึงวันสุดท้ายของ WFH ค่อนข้างที่จะแอบตึง ๆ อยู่ เพราะว่างานค่อนข้างที่จะยาก เป็นงานแปลเอกสารจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาไทย และโดนแก้บ่อย ส่วนมากจะเป็นเรื่องภาษาไทย เป็นคนไทยที่ไม่เก่งภาษาไทยแล้วก็ผิดจุดซ้ำ ๆ จนแอบรู้สึกท้อใจกับตัวเองมากเลยค่ะ เลยต้องหาของหวานกินเพื่อเพิ่มกำลังใจตัวเองและเพิ่มกำลังสมอง ฮ่า ๆ สำหรับฉันคิดว่าพอหมดงานนี้ ก็คงจะมีงานด่วน (ด่วนแบบตะโกน) แบบนี้ตามมาอีกแน่ ๆ
สามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ สิ่งที่ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย คือ ตัวเองเริ่มคุ้นชินกับโปรแกรมในคอมแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม Excel และ Power Point คิดว่าตัวเองเริ่มเก่งการใช้คีย์ลัดในการทำงานค่ะ เพราะว่าปกติมักจะใช้โปรแกรมในโทรศัพท์มากกว่าในคอม ถ้าเป็นในคอมก็จะเน้นไปทางเมาส์ซะส่วนใหญ่
และสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับฉันคือการตื่นเช้าค่ะ เพราะปกติตื่นเช้าที่สุด เจ็ดโมงครึ่งค่ะ แต่มาอยู่ที่บริษัทนี้คือตื่นเร็วกว่าปกติค่ะ สำหรับฉันแล้วเป็นอะไรที่ไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไหร่ แต่ก็จะพยายามปรับให้ได้เลยค่ะ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากก็ตามทีเถอะ และอีกสิ่งหนึ่งที่คิดว่ายากเหมือนกัน (ยากกว่าการตื่นนอนซะอีก) ก็คือ การแปลค่ะ เพราะว่ามันต้องใช้คำศัพท์เฉพาะทางค่อนข้างเยอะ //คงต้องหาเวลาว่างจริง ๆ อ่านหนังสือซะแล้วสิ
ทั้งหมดนี้คือ ความเป็นไปความเป็นมาว่า ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งช่วงก่อนเข้ามาฝึกงานกับโครินี้เป็นอย่างไร ตอนนี้รู้สึกเริ่มคุ้นชินกับงานเร่งแล้วค่ะ ฮ่า ๆ แต่พอไม่มีงานอะไรเร่งด่วน แล้วก็แอบรู้สึกแปลกใหม่นะคะ แปลกใหม่ที่ว่าไม่วุ่นวายเหมือนตอนที่กำลังเตรียมงานอิเวนต์ และยังไงก็ขอบคุณนะคะที่ทำให้ฉันได้มีโอกาสได้ฝึกงานกับบริษัทนี้นะคะ >//<