BLOG

บทความ

One day trip in NAOSHIMA เกาะแห่งการเยียวยา ตอนที่ 3

One day trip in NAOSHIMA เกาะแห่งการเยียวยา ตอนที่ 3

ในที่สุดก็มาถึงฝั่งท่าเรือฝั่งฮนมุระ (Honmura Port)

งานศิลปะ Naoshima Port Terminal ของศิลปิน KAZUYO SEJIMA + RYUE NISHIZAWA / SANAA ที่จัดแสดงในงานเทศกาลศิลปะนานาชาติเซโตะอุจิ (Setouchi Triennale) ปี ค.ศ. 2017 ตั้งโดดเด่นมองดูคล้ายก้อนเมฆ หลังคาที่ทำจากไฟเบอร์กลาส (FRP) เกิดจากทรงกลม 13 ลูกเชื่อมกันจนเป็นหนึ่งเดียว ให้เหล่าผู้มาเยือนเข้ามานั่งหลบแดดหลบฝนระหว่างนั่งรอเรือ ด้านในมีห้องน้ำไว้ให้บริการ




ย่านนี้มีป้ายที่พักทั้ง Guesthouse และ Backpacker ให้ความรู้สึกเป็นย่านที่อยู่อาศัยมากกว่าทางฝั่งย่านท่าเรือมิยาโนะอุระ


ตามกำแพง ผนังก็มีภาพวาดสีสันสดใสให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปถ่ายรูป




ใกล้ๆ ท่าเรือมีร้านขายไอศกรีมเจลาโต naoshima gelato ที่จำหน่ายไอศกรีมเจลาโตรสชาติท้องถิ่นของคางาวะและในพื้นที่จังหวัดข้างเคียง เลยลองสักถ้วย


งานศิลปะไฮไลต์ของที่นี่ก็คือ Ando Museum และ Art House Project ซึ่งล้วนสร้างผลงานศิลปะไว้ภายในบ้านเก่าของชาวเกาะ เป็นงานศิลปะที่ดูกี่ครั้งพูดถึงกี่ทีก็รู้สึกประทับใจเสมอ ครั้งนี้ก็ขอผ่านสถานที่ที่เคยมาเพื่อเก็บสถานที่ใหม่ๆ เพิ่มเติม

ก่อนอื่นมาหาที่จอดจักรยานกันก่อน ปั่นวนอยู่สองสามรอบก็เจอที่จอดในที่สุด ที่ย่านนี้ต้องระวังเรื่องการจอดจักรยานทิ้งไว้ จะจอดสุ่มสี่สุ่มหาไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่ว่าจักรยานจะหายไปไหนนะคะ แต่เป็นเพราะนอกจากสถานที่ท่องเที่ยว และร้านอาหารแล้ว พื้นที่นี้ยังเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน เราไม่ควรไปจอดจักรยานรบกวนพื้นที่ของคนในพื้นค่ะ เพราะเราก็เป็นเพียงผู้มาเยือนเท่านั้นค่ะ


ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะถ้าที่ไหนจอดได้จะมีป้ายเขียนไว้ ถ้าเป็นพื้นที่เฉพาะส่วนบุคคลจะมีป้ายเขียนบอกทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษชัดเจนค่ะ

เมื่อเราจอดจักรยานและล็อคเรียบร้อยก็ออกเดินเท้ากันต่อเลยค่ะ

ความสนุกของการเดินเล่นในฝั่งนี้ก็คือ ได้เดินเล่นลัดเลาะไปตามซอกซอย บ้านหลายหลังที่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม บางตรอกซอกซอยก็มองทะลุเห็นทะเล ก็กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม





บ้านบางหลังก็ปรับปรุงและเปิดใหม่เป็นแกลเลอรี บางหลังก็เปิดเป็นคาเฟ่ มีงานศิลปะให้ชมเป็นจุดๆ ให้ตามหา







อย่างที่บอกไปเมื่อคราวที่แล้วว่าเสน่ห์ของการเที่ยวเกาะต่างๆ ก็คือ การไม่มีอะไรได้ดั่งใจ ไม่มีอะไรที่เป็นไปตามแผน ร้านที่เปิดใน Google Map แต่กลับปิดในความเป็นจริงก็มีไม่ใช่น้อย ก็เลยทำให้เราได้เดิน เดิน เดิน… ตามหาสิ่งที่เราต้องการมากขึ้น


และจุดหมายของครั้งนี้ก็คือ ร้านกาแฟท้องถิ่น

รู้สึกว่าวันนี้บริโภคน้ำตาลไปในปริมาณที่ค่อนข้างสูง สูบของหวานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ถ้าได้กาแฟดำสักแก้วน่าจะช่วยล้างความหวานที่ติดอยู่ปลายลิ้นเราได้ก็คงดี

เหมือนชีวิตเลยนะคะ ถ้าหวานอย่างเดียวก็คงไม่ดีต่อสุขภาพ ต้องมีขมมาตัดบ้างให้เป็นสีสันของชีวิตค่ะ

เดินไปเดินมาตามแผนที่ในที่สุดก็เจอร้านกาแฟ ((ที่เปิดให้บริการ))


‘FRANCOILE’ Naoshima Coffee roastery แค่ชื่อร้านก็กินขาดแล้ว



พอเปิดประตูเข้าไป ภาพคนยืนรอแน่นขนัด ที่นั่งในร้านเต็มทุกจุด
พนักงานเดินเข้ามาถามว่ามากี่คน รอสักครู่ สั่งกาแฟก่อนได้นะ

คิดว่ายังไงก็ต้องดื่มกาแฟ Naoshima Blend ให้จงได้!!!
เลยเดินไปสั่งที่เคาท์เตอร์ก่อนแล้วมารอบริเวณที่พื้นที่ว่าง



ระหว่างที่ยืนรออย่างใจจดใจจ่อนั้น โต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งดูแล้วก็เหมือนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวคนเดียวก็กวาดของบนโต๊ะไปวางไว้ด้านหน้าตัวเอง แล้วบอกว่านั่งตรงนี้ก็ได้นะ



รู้สึกว่าการที่ได้พบเจอเรื่องราวแบบนี้ระหว่างทริปการเดินทางก็สร้างความทรงจำดีๆ ไม่น้อยเลย

นั่งรอสักพักกาแฟก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ
กาแฟหอมอ่อนๆ จิบเบาๆ ก็รู้สึกสดชื่น ไม่ขมจนเกินไป มีความฟรุ๊ตตี้ สดชื่นฟื้นคืนชีพแล้วค่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนสายลมเย็นๆ ในฤดูร้อนเลย


ค่อยๆ ละเลียดจิบกาแฟทีละนิดทีละนิด ราวกับกาแฟเป็นของล้ำค่า…
เมื่อดูดกาแฟจนหมดนั่งพักหายใจ หลบไอแดดสักพักเลยออกเดินต่อ

เดินลัดเลาะซอกซอยไปเรื่อยๆ เข้าซอยนั้นออกซอยนี้ โผล่อีกทีก็อยู่หน้า Ando Museum แม้ไม่ได้เข้าไปก็ขอถ่ายภาพด้านหน้าสักใบละกัน


จากนั้นก็กลับหันหลัง ถ่ายรูปหน้าวัดโกคุราคุจิ (Gokurakuji Temple) วัดประจำเกาะนาโอชิมะ


เดินครบทุกซอยแล้วได้เวลาเดินกลับไปเอาจักรยานที่จอดไว้






ระหว่างทางปั่นจักรยานกลับไปยังท่าเรือฮนมุระก็งงหลงทางอีกตามเคย ด้วยความไม่อยากกลับทางเดิมเลือกทางใหม่เลยเปิด Google Map แล้วปั่นตามทาง ทว่าทำไมโผล่มาท่าเรือประมง แถมยังเป็นทางตันอีก เมื่อเจอทางตันเราก็ต้องถอย กลับไปตั้งหลักใหม่… ค่อยๆ จูงจักรยานพร้อมดู Google Map ในมือ ก็ดูงงๆ หลงๆ เช่นเคย เลยตัดสินใจว่าปั่นไปในที่ที่มีคนเดี๋ยวก็เจอป้าย พอเจอป้ายคราวนี้ก็ปั่นตามป้ายชี้ทางไป Miyanoura Port เลย

เพียงอึดใจเดียวก็มาถึงท่าเรือ เมฆฝนมาต้อนรับอีกครา จากฟ้าสดใสตอนนี้เมฆเริ่มมืดลงและต่ำมาก ไม่ช้าฝนคงจะตก เลยเอาจักรยานไปคืนก่อนห้าโมงเย็น จากนั้นก็เดินเล่นแถวท่าเรืออีกทิศหนึ่งที่ยังไม่ได้ไปในตอนเช้า



ร้านอาหารยังไม่เปิดให้บริการ ร้านอาหารส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการเป็นมื้อๆ เช่น มื้อเที่ยงส่วนใหญ่จะเริ่มตั้งแต่ 11 โมง – บ่าย 2 ส่วนมื้อค่ำก็จะเปิดประมาณ 5 โมงเย็นซึ่งเวลานั้นเราก็คงอยู่บนเรือแล้ว




เปาะแปะ เปาะแปะ เสียงฝนที่ลงเม็ดกระทบกับหลังคา
โชคดีที่พกร่มมาด้วย… การได้เดินใต้ร่มในช่วงเวลาที่ฝนตกก็ช่วยเพิ่มรสชาติของการท่องเที่ยวได้ดีเหมือนกัน

ไหนๆ ฝนก็ตกเลยเดินกลับมาที่อาคารท่าเรือ เดินดูของฝากฆ่าเวลาเรือเทียบท่า 17.00 น.




พอใกล้เวลา 5 โมงเย็น ผู้คนเริ่มตั้งแถวเตรียมขึ้นเรืออย่างเป็นระเบียบ ช่างเป็นภาพที่หาชมได้ยากที่บ้านเรา


ฝนหยุดตกแล้วเลยเลือกที่จะนั่งรับลมทะเลเย็นๆ ที่ด้านบนดาดฟ้า
อาจจะขึ้นช้าไปนิด ที่นั่งด้านบนถูกจับจองไปเสียหมดแล้ว

หลังจากที่ยืนละล้าละลังอยู่สักพักหนึ่ง เผลอไปสบตากับน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งคนเดียวที่โต๊ะ เลยผงกหัวให้หนึ่งที น้องเขาก็ชี้ๆ คงประมาณว่ามานั่งด้วยกันไหม ก็เลยก้มหัวตอบพร้อมรอยยิ้ม แล้วเดินไปนั่งด้วย พร้อมบรรยากาศเกร็งกิเดส


ภาพท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆสีเทา ท้องทะเลสีดำ คั้นกลางด้วยลำแสงของพระอาทิตย์สีเหลืองทอง เป็นภาพที่สวยงามตรึงใจจนรูม่านตาขยาย แต่ละคนต่างอดไม่ได้ที่จะอุทานว่าสวยจัง “คิเรอิ” คำนี้และบรรยากาศช่วยทำลายกำแพง เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการสนทนา


จู่ๆ ฝนก็เทลงมา คนที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าพากันย้ายมานั่งในห้องด้านในเรือ
ระหว่างทางกลับมาท่าเรือทากามาทสึ เราก็ได้เพื่อนใหม่ที่ไม่ได้ถามว่าชื่ออะไร และไม่ได้แลกช่องทางการติดต่ออะไรกันไว้เลย



“ยินดีที่ได้รู้จัก”
ประโยคสั้นๆ แทนคำบอกลา