BLOG
บทความ
ได้ชมบรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวใน “คาบสมุทรโนโตะ” (Noto Peninsula) ในบล็อก Road Trip to Noto Peninsula ครั้งก่อนกันไปบ้างแล้ว รู้สึกอยากไปเที่ยวกันไหมคะ ^^
สัปดาห์นี้เรามานั่งรถเที่ยวกันต่อดีกว่าค่ะ
เมื่อเดินทางมาจนถึงปลายสุดทางเหนือของคาบสมุทรโนโตะ ก็จะพบกับสถานที่ที่เรียกว่า “แหลมซูซุ” (Cape Suzu) ค่ะ ที่นี่เปรียบเสมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือเหมือนดั่ง Power Spot ของญี่ปุ่นที่โด่งดังอีกหนึ่งแห่งค่ะ กล่าวกันว่าแหลมซูซุนี้เป็นสถานที่ที่กระแสลมหนาวจากทางเหนือและกระแสลมร้อนจากทางใต้มาบรรจบกันค่ะ
ทิวทัศน์ที่หันหน้าสู่ทะเลญี่ปุ่นอันกว้างใหญ่ไพศาลทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจและขนลุกไปพร้อมกัน สมกับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าที่นี่ก็มีหอคอยชมวิวที่เรียกว่า “Sky Bird” ให้ขึ้นไปชมวิว ณ มุมที่สูงขึ้นเช่นเดียวกันค่ะ รับสัมผัสของสายลมและความงดงามของทะเลญี่ปุ่นได้แบบเต็มที่ไปเลย~
ทุกคนคงจะเห็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่นหลังคาสีดำเรียงรายโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านล่าง ที่ทำให้ทิวทัศน์ของที่นี่ดูมีเสน่ห์และน่าค้นหายิ่งขึ้นไปอีก
สงสัยใช่ไหมคะว่าคืออะไร
สถานที่นี้คือ “Lamp no Yado Ryokan” เรียวกังญี่ปุ่นเก่าแก่ที่เปิดให้บริการมาแล้วยาวนานถึง 450 ปี ที่พักหันหน้าออกสู่ทะเลญี่ปุ่น รับความสดชื่นจากธรรมชาติพร้อมกับวิวสวย ๆ ได้แบบเต็มอิ่มเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นห้องพักหรือบ่อออนเซ็นที่ทางโรงแรมให้บริการ ใครที่อยากละทิ้งจากความวุ่นวายแล้วมาใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติล่ะก็แนะนำที่นี่เลยค่ะ
ในสมัยก่อนหากจะเดินทางมายังเรียวกังแห่งนี้ มีวิธีเดียวที่จะเดินทางมาได้คือการนั่งเรือค่ะ แต่ปัจจุบันเมื่อทุกอย่างพัฒนาขึ้นก็สามารถที่จะเดินทางมาได้โดยรถยนต์อย่างเช่นทุกวันนี้นั่นเอง
อีกทั้งการตกแต่งของเรียวกังก็ตรงตามชื่อ “Lamp” ค่ะ ในตอนกลางคืนจะมีการจุดตะเกียงในบริเวณต่าง ๆ ของเรียวกัง ยิ่งเพิ่มความงดงามน่าค้นหาและดูหรูหราขึ้นมาอีกค่ะ
ขอบอกว่าถึงแม้เรียวกังนี้จะเดินทางมาลำบาก แต่ความฮอตก็ทะลุปรอทนะคะ ใครอยากจะมาเข้าพักต้องรีบจองกันแต่เนิ่น ๆ เลยค่ะ
บริเวณแหลมซูซุยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมี “Blue Cave” หรือถ้ำสีฟ้า ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่ต้องมาชมค่ะ
เมื่อเดินลงมาตามทางเดินจากข้าง ๆ หอคอยชมวิว ก็จะมาถึงถ้ำสีฟ้าค่ะ (มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม) หากจะเข้ามาชมภายในถ้ำ ก็แนะนำว่าปลอดภัยไว้ก่อน ต้องสวมหมวกนิรภัยเพื่อความปลอดภัยของตัวเองด้วยนะคะ
ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ว่าก็คือ เมื่อแสงอาทิตย์ส่องมาในเวลาที่เหมาะสม จะเกิดเป็นแสงสีฟ้าสะท้อนกับผืนน้ำทำให้ถ้ำแห่งนี้กลายเป็นสีฟ้าอย่างน่าอัศจรรย์เลยล่ะค่ะ
แต่ใช่ว่าสีฟ้าจะคงอยู่ตลอดไป เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาเท่านั้นค่ะ เวลาที่แนะนำให้มาชมถ้ำสีฟ้าคือประมาณ 7.00 – 11.00 น. ค่ะ หลังจากนั้นเป็นต้นไป ทุกคนอาจจะได้พบกับไฟ LED สีฟ้าแทนนะคะ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความสวยงามภายในถ้ำแห่งนี้ก็คุ้มค่าให้มาชมค่ะ
ขออภัยที่ไม่มีรูปภาพมาให้ชมกันนะคะ เราไปชมภาพบรรยากาศผ่านคลิปวิดีโอกันค่ะ ^^
คลิกเพื่อชมวิดีโอ
ขับรถมาต่อกันที่สถานที่ท่องเที่ยวที่เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของคาบสมุทรโนโตะกันอีกที่หนึ่งค่ะ
“เกาะมิทสึเคะ” (Mitsuke Island) เกาะรูปร่างหน้าตาเป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำ
เกาะที่มีความสูงถึง 28 เมตร ยาว 180 เมตร อยู่ห่างจากชายฝั่งไปประมาณ 150 เมตร ลักษณะคล้ายคลึงกับเรือรบ เลยมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กุนกังจิมะ” หรือแปลว่าเกาะเรือรบนั่นเองค่ะ (เป็นชื่อเล่นที่คล้ายกับเกาะฮาชิมะ ในจังหวัดนางาซากิเลยค่ะ) เกาะเรือรบที่สูงเด่นริมชายหาดนี้ถือเป็นทัศนียภาพอันเป็นตัวแทนของคาบสมุทรโนโตะเลยก็ว่าได้ค่ะ
ทางเดินไปยังเกาะเรือรบนี้สร้างด้วยหินทอดยาวไปยังเกาะ นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปได้นะคะ แต่ต้องระวังในเวลาน้ำขึ้น อาจจะมีคลื่นซัดและค่อนข้างอันตรายค่ะ
นอกจากเกาะรูปร่างเรือรบที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่น่าสนใจเช่นเดียวกันค่ะ และชายหาดอันเป็นที่ตั้งของเกาะมิทสึเคะแห่งนี้มีชื่อว่า “ชายหาดโคอิจิ” (Koiji Beach) หมายถึง Love Road หรือถนนแห่งรักค่ะ ซึ่งที่นี่มีเรื่องราวของคู่รักคู่หนึ่งที่ฝ่ายชายถูกฆ่าในทะเลโดยศัตรูที่ต้องการฝ่ายหญิงมาในครอบครอง ฝ่ายหญิงเสียใจเป็นอย่างมากจึงกระโดดลงทะเลตายตามคนรักไป เรื่องราวแสนเศร้านี้ทำให้ได้ชื่อของชายหาดโคอิจิมาค่ะ นอกจากนี้ บริเวณชายหาดยังมีระฆังแห่งรักตั้งอยู่ด้วย เชื่อกันว่าหากคู่รักมาสั่นระฆังนี้ด้วยกัน จะทำให้รักกันยืนยาวค่ะ ♡ ใครเป็นสายมูห้ามพลาดเลยนะคะ
บริเวณชายหาดระหว่างระฆังแห่งรักและเกาะมิทสึเคะ ยังมีชื่อเล่นน่ารัก ๆ ว่า “เอ็นมุสุบีช” (Enmusu Beach) ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า “เอ็นมุสุบิ” (Enmusubi) ที่แปลว่าการผูกดวงชะตาในภาษาญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ ^^
ได้ลองขับรถเที่ยว (แบบสมมติ) ไปในคาบสมุทรโนโตะแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างคะ
ความสวยงามของธรรมชาติช่างน่าตื่นตาตื่นใจ รู้สึกชื่นชมผู้ที่มาค้นพบและพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริง ๆ ค่ะ ทำให้รู้ว่าในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทย หรือในโลกใบนี้ ยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้เราออกไปพบเจออีกมากมายเลย
หวังว่าทริปเที่ยวคาบสมุทรโนโตะในครั้งนี้จะจุดประกายทุกคนให้ออกไปท่องเที่ยวกันนะคะ
ออกไปพบเจอสิ่งใหม่ ๆ กันเถอะ!