BLOG

บทความ

ชีวิตเด็กฝึก (อ่อน) หัด ตอนที่ 1 เข้ามาเป็นครอบครัวโคริ

ชีวิตเด็กฝึก (อ่อน) หัด  ตอนที่ 1 เข้ามาเป็นครอบครัวโคริ

ชีวิตคนเราล้วนผ่านการนับหนึ่งใหม่ซ้ำๆ เรื่อยๆ ในแต่ละช่วงอายุ
ตั้งแต่เราเริ่มหัดเดิน หัดพูด หัดอ่าน หัดเขียน เรียนรู้และรับบทบาทไปในแต่ละช่วงวัย

การเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้งของเด็กมหาวิทยาลัยคือ การฝึกงาน
หลายคนก็คงผ่านช่วงเวลาเป็นเด็กฝึกงานมาใช่ไหมละค่ะ

แนนเองก็ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาเหมือนกันค่ะ ล้มลุกคลุกคลาน หกคะเมนตีลังกา กว่าจะเป็นได้เหมือนทุกวันนี้ พี่ๆ ทุกคนในโคริช่วยขัดเกลามาไม่น้อยเลย จนตอนนี้เป็นสมาชิกที่อยู่นานที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้ค่ะ
และแน่นอนว่าทุกวันนี้ก็ยังตะกุกตะกักอยู่ไม่ใช่น้อย ชีวิตคนเรายังมีเรื่องอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะค่ะ

มาดูกันว่าชีวิตเด็กฝึกงานที่นี่มีที่มาที่ไปอย่างไร เรียกได้ว่าเป็น “โชคชะตา” ก็ว่าได้ค่ะ

Q: ทำไมถึงมาฝึกงานที่นี่
A: อืม…เรื่องมันยาวมากค่ะ

ย้อนกลับไปในรั้วมหาวิทยาลัย ตอนนั้นอยู่ปี 3 ช่วงปี 3 เทอม 1 และ ปี 3 เทอม 2 มีการเปลี่ยนวันปิดเทอมใหม่ให้ตรงกันทั้งอาเซียน เหมือนเป็นรุ่นแรกก็โดนปิดเทอมไปเลยยาวๆ 6 เดือน คนที่อยู่ในวัยเดียวกันคงเข้าใจ ((หัวอกเดียวกันค่ะ /// ตบบ่า))

ช่วง 6 เดือนที่จะได้ปิดเทอม ย๊าววว ยาววว ก็คิดและคุยกับเพื่อนว่าจะทำอะไรดี เพื่อนบ้างคนก็จะพักสักหน่อยแล้วค่อยไปหาที่ฝึกงานหรือทำงานพิเศษ (ลืมบอกไปว่าเอกที่เรียนไม่ได้บังคับสำหรับการฝึกงาน ใครใคร่ทำอะไรทำ) เพื่อนบางคนก็ตัดสินใจไปเรียนภาษาที่สถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น (ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา ไม่ได้หายไปไหน แต่ติดใจย้ายไปเรียนที่นั้นจนจบ และใช้ชีวิตที่นู้นไปแล้ว) เพื่อนบางคนก็ไปทำงาน Work and Travel ที่อเมริกา หาประสบการณ์พัฒนาทักษะแถมได้เงินด้วย เพื่อนบางคนก็ตัดสินใจฝึกงานที่บริษัทที่ตัวเองสนใจ…

ในขณะที่เพื่อนๆ ล้อมวงสนทนาเกี่ยวกับวิถีชีวิตใน 6 เดือนนั้น บ้างก็บอกว่าได้ที่ฝึกงานแล้ว บ้างก็บอกจองตั๋วเครื่องบินแล้ว…

เกิดคำถามกับตัวเองชั่วขณะหนึ่งแล้วฉันล่ะจะทำอะไรดี
เมื่อกลับไปที่หอ นั่งมองจอคอมพิวเตอร์ ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน

เริ่มถามตัวเองว่า “อยากทำอะไร”
คำถามที่ดูง่ายแสนง่าย แต่กลับตอบไม่ได้ในทันที
ไม่ว่าจะยุคไหนคำถามนี้สำหรับเด็กมหาลัย เด็กที่กำลังจะจบก็ยังคงเป็นคำถามที่ยากเสมอไม่เปลี่ยนแปลง

งั้นลองตั้งคำถามใหม่ “ตัวเองชอบอะไร”
อืม…ชอบอะไรล่ะ ศิลปินเกาหลี 😉
แต่อีกใจหนึ่งก็กลับกลัวว่า เมื่อทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองรักมากก็กลัวจะเกลียดสิ่งนั้นมากเช่นกัน
เพื่อนก็ชวนไปฝึกงานด้วยกัน ทว่า เกิดความคิดชั่วขณะที่ว่า เมื่อมีของมากกว่าสองสิ่งขึ้นไป ต่อให้ระวังมากแค่ไหนก็อาจมีการเปรียบเทียบแบบซ่อนเร้นโดยที่ไม่รู้ตัว จึงปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม

คนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจคิดว่า ทำไมใช้ชีวิตยุ่งยาก คิดมากไปหรือเปล่า
ก็จริงค่ะ คิดมากกับรอบคอบ ระวังกับระแวง คำคล้ายกันแต่ความหมายคนละขั้วเลยค่ะ

การฝึกงาน 3 เดือน อาจจะเป็นแค่ 3 เดือน หรือ ตั้ง 3 เดือนได้เลยค่ะ
การฝึกงานจึงมีความหมายอย่างมากขอคิดเยอะหน่อยดีกว่าค่ะ

ก่อนมาสัมภาษณ์ที่โคริ ก็เคยไปสัมภาษณ์ที่หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นในไทยเหมือนกัน
การสัมภาษณ์งานก็ให้ความรู้สึกเหมือนรักแรกพบ บรรยากาศก็มีผลต่อการทำงานเหมือนกัน
ตอนไปสัมภาษณ์ที่นั่น บรรยากาศดูขะมุกขะมัว อากาศดูไม่ถ่ายเท รู้สึกอึดอัดไปหมด
ที่นี่คงไม่ใช่ที่ของเรา

จนวันหนึ่งลองค้นหาใน Google จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นค้นหาว่าอะไร
โชคชะตากลับนำพาไป ที่เว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง มีคนตั้งโพสรับสมัครพนักงานพร้อมทิ้งเบอร์ติดต่อและอีเมล (เพิ่งมารู้ที่หลังจากพี่กุ้งว่าลืมลบ 555)

ลองเข้าไปเว็บไซต์บริษัทในสมัยนั้น “Plannasia” แค่เห็นชื่อก็ประทับใจเป็นการสมาส สนธิคำได้อย่างยอดเยี่ยม ผลงานน่าสนใจสุดซึ้งดูมีความหลากหลาย งานเบื้องหลัง งานแปล งานทำเอกสาร ครบทุกความต้องการจริงๆ
ส่วนตัวลึกๆ แล้วมีความสนใจงานเบื้องหลังมาตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้ ชอบอ่านนิตยสารบันเทิงที่เขาพาไปกองถ่าย งานตัดต่อ งานออกแบบ ตอนนั้นยังไม่รู้จักกับคำว่า “งานประสานงาน” ว่ามีบนโลกไปนี้ด้วย เพราะสายภาษาส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงงานล่าม งานบริษัททัวร์
“โลกใบนี้ยังมีอะไรที่เราไม่รู้ และให้เรียนรู้อีกมากมาย”
เลยลองส่งประวัติและคำขอสมัครฝึกงานไปยังบริษัท แพลนเนเซีย จำกัด

และแล้วก็มีการติดต่อกลับมาให้เข้าไปสัมภาษณ์
นี่เพิ่งตอบคำถามข้อ 1 จบไปก็ยาวขนาดนี้แล้ว

ความทรงจำมันพรั่งพรูออกมาเยอะมากเลยค่ะ นี่คัดออกมาแล้วนะคะ

Q: ตอนสัมภาษณ์งานเป็นอย่างไรบ้าง
A: เรื่องมันนานพอสมควรจึงอาจจะเลือนลางไปนิดนะคะ จะเล่าบรรยากาศให้ฟังล่ะกันค่ะ

“หมู่บ้าน XXXX ซอย XX/XX เลี้ยวขวา เข้ามาหลังในสุดอยู่ซ้ายมือ” พี่กุ้งได้บอกวิธีตามหาออฟฟิศพร้อมส่งแผนที่มาให้ สมัยนั้นเป็นช่วงแรกๆ ของการใช้ไลน์เลยก็ว่าได้

เมื่อมาถึงบ้านหลังหนึ่งด้านในสุด จึงกดกริ่ง สักพักก็มีพี่คนหนึ่งมาเปิดให้
ตอนนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เจอหน้าก็ไหว้หมด และพี่คนหนึ่งที่นั่งตรงประตูใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้นแบบเท่ๆ บอกให้ขึ้นไปรอที่ห้องประชุมได้เลย พี่ผู้หญิงที่เปิดประตูให้ก็พาขึ้นไปบนชั้น 3 ที่เป็นห้องประชุม ระหว่างทางก็ผ่านชั้นลอย มีพี่ๆ พนักงานนั่งอยู่คนไทย 1 ญี่ปุ่น 1

รอที่ห้องประชุมสักพัก พี่เสื้อดำที่นั่งตรงประตูก็เข้ามาคุยด้วย เสียงพี่เขาสดชื่นให้ความรู้สึกเหมือนกินโซดาในอากาศร้อนๆ เลยค่ะ พี่เขาชวนคุยเก่งมาก คุยโน้นนั้นนี้ เคยทำอะไรมาบ้าง เป็นยังไง ตื่นเต้นไหม คนๆ นั้นก็คือ พี่กุ้ง
“ใจเต้นจนแทบจะหลุดออกมากแล้วค่ะ”

จากนั้นก็มีพี่ผู้หญิงเสื้อขาว 2 คน เข้ามาคนหนึ่งคือคนที่นั่งอยู่ที่ชั้นลอย อีกคนไม่เคยเจอมาก่อน แต่ก็สัมผัสได้ถึงความสดใส ซึ่งก็คือพี่ชิและพี่โย

การสัมภาษณ์ได้เริ่มต้นขึ้น

เริ่มแรกก็สัมภาษณ์คำถามทั่วไป อย่างมาฝึกงานที่นี่ได้อย่างไร ดูประวัติเทียบใบเกรด ทำไมถึงมาเรียนภาษาญี่ปุ่น ถามถึงความชอบว่าชอบอะไร ทำไมถึงชื่ออีเมลถึงเขียนแบบนี้ เป็นต้น

ถ้าให้พูดถึงเหตุการณ์ในห้องนั้นทั้งหมดก็คงตอบได้ทันทีว่า “จำไม่ได้” ช่างเลือนลางเหลือเกิน
ถ้าถามถึง Highlight เด็ดๆ ก็พอจะยกขึ้นมาได้บ้าง อย่างคำถามที่ว่า ชอบดาราไทยคนไหน จำได้ว่าตอนนั้นตอบคุณบอย ปกรณ์ไป เพราะภาพถ่ายฟัดจังโตะตั้งอยู่บนหลังตู้เย็น และเสียงหัวเราะของพี่ชิที่อร่อยมากๆๆๆๆๆ ช่วยให้ความกดดันมันลดลงไปเยอะมาก

อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าบรรยากาศและสีที่ไม่ใช่สีที่มองเห็นด้วยตาเขียว ฟ้า เหลือง แดง ใดๆ จะเรียกว่า ออร่า ก็ไม่ใช่ เอาเป็นว่า “บรรยากาศ” ของที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ที่นี่ให้ความรู้สึกสบาย ปลอดโปร่ง ชวนให้ทำงาน บวกกับคนและงานยิ่งทำให้รู้สึกว่าต้องทำงานที่นี่ให้ได้ ระยะทางการเดินทางคือ สิ่งสุดท้ายที่คิดถึง เพราะงานมีผลต่อจิตใจของเราได้เลย สำคัญมากค่ะ

พอสัมภาษณ์เสร็จพวกพี่เขาก็ออกไปคุยกัน แล้วกลับมาพร้อมข่าวดีสำหรับเราคือ “คุณได้ไปต่อ” T^T

จากนั้นก็คุยเรื่องค่าจ้าง โดยส่วนตัวตอนนั้นคิดว่าไม่ได้อยากได้เงิน อยากได้ประสบการณ์มากกว่า เพราะข้าวฟรีน้ำฟรีทุกอย่าง แต่พี่ชิก็บอกว่าไม่ได้ ปกติเขาให้เท่าไหร่
ยากจังการกำหนดค่าตัวให้ตัวเอง เลยบอกไปว่าเพื่อนได้วันละ 300 บาท แต่ถ้ามากไปก็ลดได้
พี่ชิมองว่าก็โอเคสมน้ำสมเนื้อ เลยอยู่ที่ 300 บาท

ในที่สุดก็ได้เข้ามาเป็นครอบครัวโคริค่ะ
พอเข้ามาทำงานประมาณหนึ่งก็ได้รู้ว่า เกือบไม่ได้ฝึกงานที่นี่แล้วค่ะ เพราะงานประสานงานส่วนใหญ่ต้องไปพบปะผู้คน ภาพลักษณ์และหน้าตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยโฉมหน้าในตอนนั้น (และในตอนนี้) พี่ชิคิดว่า จะไหวไหม พี่กุ้งเป็นคนบอกให้ลองของแปลกใหม่ดูบ้าง ไม่ลองไม่รู้ ด้วยเหตุนี้จึงผ่านการสัมภาษณ์งานค่ะ

พี่ๆ พาไปดูห้องหับต่างๆ ในบ้าน ตู้เก็บของอยู่ไหน โต๊ะของเราในอนาคตอยู่ไหน พาไปแนะนำให้พี่ๆ ทุกคนรู้จัก ครัวอยู่ตรงนี้ ตู้เย็นอยู่ตรงนั้น พร้อมเปิดตู้เย็นและหยิบมาการองออกมาให้ 2 ชิ้น สัมผัสได้ถึงการเป็นผู้ให้ของพี่ชินับตั้งแต่วันนั้น…

แค่เริ่มต้นก็ยาวเป็นมหากาพย์เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง แล้วค่ะ
ทุกคนในบริษัทจะน่ารักขนาดไหน ช่วงฝึกงานจะสนุก โหด มัน ฮา ระดับไหน
วันศุกร์หน้าได้โปรดเข้ามาอ่านต่อนะคะ 5555++