BLOG
บทความ
หลังจากเข้ามาในโคริจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ
Q: ตอนฝึกงานมีเรื่องหรือเหตุการณ์อะไรที่จำได้ขึ้นใจมากที่สุด
A: มีหลายเหตุการณ์ประทับใจเลยค่ะ เอาเรื่องที่พูดถึงบ่อยที่สุดล่ะกันนะคะ
ครั้งหนึ่งเคยได้รับโอกาสได้ไปกองถ่ายละครไทยที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นยกกันไปทั้งออฟฟิศเลยค่ะ
ตอนเด็กๆ เราเคยคิดอยากจะทำงานเบื้องหลัง รู้สึกดีใจและตื่นเต้นตั้งแต่ตอนเข้าประชุมกับทีมละคร ศัพท์มากมายที่ไม่รู้จักไม่คุ้นหู เหมือนเป็นโลกอีกใบ พอไปถ่ายที่โน่นปัญหาต่างๆ ย่อมเกิดขึ้น พี่ชิและพี่กุ้งช่วยกันแก้ปัญหาอย่างใจเย็นและได้ประสิทธิภาพมากๆ แคท (เพื่อนคนเก่งที่ผ่านการฝึกงานและร่วมทุกช์ร่วมสุขกันมายาวนานในบริษัท) และแนนจะเป็นผู้ช่วยในเรื่องจิปาถะเล็กๆ น้อยๆ คอยอำนวยความสะดวกให้กับทีมไทย ตอนนั้นแนนไปก่อนกับพี่ชิและพี่กุ้งกับทีมชุดแรกล่วงหน้าประมาณ 1 – 2 วันถ้าจำไม่ผิดนะคะ ส่วนแคทไปคนเดียวฉายเดี่ยวกับทีมงานไทยอีกหนึ่งชุดที่ตามไป ((เก่งมาก))
อุปสรรคในการถ่ายทำเกิดขึ้นมากมาย พวกเราไปถ่ายในฤดูใบไม้ผลิเพื่อให้ได้ฉากซากุระแต่ซากุระกลับไม่ค่อยมี ฝนตกหนัก ต้องสลับคิวและเปลี่ยนสถานที่ตามหาซากุระ เพื่อถ่ายฉากนั้นๆ โดยที่สถานที่ยังเข้ากับฉากตอนนั้นได้เหมือนเดิม ทุกอย่างเราต้องทำงานแข่งกับเวลา 1 วินาทีก็มีค่า ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เข้านอนดึก ขนาดเราเป็นแค่สตาฟผู้ช่วยตัวเล็กตัวน้อยยังรู้สึกขนาดนี้ พวกพี่ชิพี่กุ้งจะทำงานหนักขนาดไหนคิดดูสิค่ะ
งานนั้นทั้งแคททั้งแนนเสียหยาดเหงื่อและน้ำตากันไปมากโขเลยค่ะ โดนดุเยอะและได้เรียนรู้อะไรจากงานนั้นแยะเลยค่ะ
เหตุการณ์ที่จำได้แม่นๆ เลยก็คือ คืนแรกที่แนนและแคทได้เจอกันหลังจากที่แคทตามมาสมทบ แนนนอนกับพี่กุ้ง แคทเข้ามาคุยที่ห้อง สักพักพี่กุ้งก็ออกไปซักผ้า พวกเราคุยกันด้วยความคิดถึงเหมือนพัดพรากกันมา 10 ปี คุยกันตั้งแต่ก่อนพี่กุ้งออกไปจนในที่สุด… จู่ๆ พี่กุ้งก็เปิดประตูกลับเข้ามาแล้วก็ ตู้ม! ระเบิดลง “ไม่นอนกันเหรอมีเวลานอนก็นอนสิ มัวทำอะไรกันอยู่” ตอนนั้นตกใจวงแตกสิคะรออะไร แยกย้ายกลับห้องใครห้องมัน ((ในใจก็แบบอะไรเนี้ยทำไมต้องโดนว่าเรื่องแบบนี้ด้วย ตอนนั้นมันก็ไม่เข้าใจทันทีหรอกค่ะ สมองทึบจริงๆ ค่ะ))
เรื่องที่พี่เขาว่าล้วนคือเรื่องจริงค่ะ สมควรโดนแล้วค่ะ เพราะการที่เรานอนดึกหรือเอาเวลานอนไปทำอะไรก็ไม่รู้ มันไม่ได้มีผลเสียแค่กับร่างกายเรา มันอาจส่งผลกระทบต่องานด้วย
พวกพี่ๆ เขาพูดเสมอตอนทำงาน “มีเวลากินให้รีบกิน มีเวลานอนให้รีบนอน ทำอะไรได้ให้รีบทำ” ล้วนคือความจริงทั้งสิ้นค่ะ โอกาสมารีบคว้าไว้เพราะโอกาสจะมาอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้หรืออาจไม่มาเลยก็เป็นไปได้ค่ะ
วันต่อมาหลังเลิกกองตอนที่เดินกลับห้องจู่ๆ พี่กุ้งก็พูดขึ้นมาว่า “ตกใจใช่ไหม ที่บ่นที่ว่าไปก็เพราะอยากให้พัฒนา ถ้าคิดว่าสอนไม่ได้พี่ก็จะไม่พูดหรอก ที่พี่พูดก็เพราะรู้ว่ายังสามารถพัฒนาได้ คิดว่าสอนได้ ที่พูดเพราะเป็นห่วงนะ” พูดเสร็จพี่กุ้งเดินแซงไปเฉยเหมือนฉากในหนังที่พูดประโยคซึ้งๆ ดีๆ แล้วหนีไป ตอนนั้นคือทุกคนเหนื่อยมากเครียดมาก พอได้ยินคำพูดพี่กุ้งมันเหมือนได้รับการปลอบโยน น้ำตาไหลพรากเหมือนเขื่อนแตกเลยค่ะ
แม้อาจจะดูเล็กน้อยแต่ก็นับว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่รู้สึกประทับใจและพูดถึงได้ตลอดเลยค่ะ และยังส่งผลถึงความคิดในปัจจุบัน “การที่เขายังคอยบ่น คอยจ้ำจี้จ้ำไช นั้นแปลว่าเขายังสนใจเราอยู่ แต่เมื่อใดที่เพิกเฉยคือวันที่เขาอาจจะเลือกปล่อยมือจากเราแล้วก็เป็นได้ค่ะ”
เลยรู้สึกว่าถูกดุก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเหมือนกันนะคะ
Q: ทำงานกับคนญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง
A: คนญี่ปุ่นก็คือคนญี่ปุ่น คนไทยก็คือคนไทย ขนาดคนไทยเหมือนกันนิสัยการทำงานก็ไม่เหมือนกัน คนญี่ปุ่นแต่ละคนก็มีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เหมือนกันในวัฒนธรรมการทำงานของคนญี่ปุ่นที่ได้เรียนรู้คือ “การตรงต่อเวลา” พี่ชิสอนตั้งแต่ช่วงฝึกงานถ้าเราต้องไปรับลูกค้าที่สนามบิน หรือที่โรงแรม เราต้องไปถึงเวลานั้นก่อนประมาณ 30 นาที ไปรอเขาได้แต่อย่าให้เขารอเรา ถ้าถึงเร็วก็อย่าเพิ่งบอกลูกค้า ให้รอๆ ไปก่อนจนเหลือประมาณ 10 – 15 นาทีแล้วค่อยบอกเขาว่าถึงแล้วนะคะ รออยู่ตรงนี้ค่ะ
เลยคิดว่าการทำงานกับคนญี่ปุ่นมีความละเอียดลออประณีตมากค่ะ
และตอนฝึกงานเวลาออกบูทจะเห็นคนญี่ปุ่น พี่ชิ พี่กุ้ง และพี่ๆ ที่อยู่มาก่อนเราเขายืนตลอด เกือบจะ 95% ของเวลาทั้งหมดที่อยู่ในบูท พูดเรียกคนตลอดไม่เคยหยุดเลยค่ะ เราเลยเหมือนได้ซึมซับสิ่งที่เห็นตอนนั้นมาด้วย เขายืนเราก็ยืน เขานั่งเราก็ยังยืน เหมือนติดมาจนถึงทุกวันนี้ เวลาจะนั่งจะมีความคิดโผล่ขึ้นมาว่าไม่ควรนั่งในบูทอันศักดิ์สิทธิ์นะ การยืนมันช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉงและมีพลังงานเพิ่มมากขึ้นจริงๆ ค่ะ
Q: งานที่หินที่สุดคืองานอะไร
A: งานที่ยากที่สุด คือ การคุยกับคน ทั้งการคุยเรื่องทั่วไป และการสื่อสารให้เข้าใจตรงกันเพราะถ้าสื่อสารผิด จากประสานงานก็จะเป็นการประสานงาเละเทะไปหมดเลยค่ะ และงานที่เราทำอยู่นั้นก็จะได้เจอกับผู้คนใหม่ๆ ทั้งไทยและญี่ปุ่น ทั้งคนที่ต้องเจอประจำและคนที่ได้เจอและพูดคุยชั่วครั้งชั่วคราว
การพูดเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย ทว่าการพูดแล้วให้คู่สนทนารู้สึกสนใจ เข้าใจร่วมกัน และสนุกกับเรื่องที่เราพูดนั้นเป็นเรื่องยากจริงๆ ค่ะ และการประสานงานบางครั้งเรารู้สึกว่าเรายังเด็กการเข้าไปคุยกับคนที่สูงกว่าหรือเป็นผู้ใหญ่กว่าทำให้เราต้องคิดและเรียบเรียงประโยคให้มากขึ้นกว่าปกติ เพราะกลัวจะไปล้ำเส้นเขาเอา จนบางครั้งก็พูดอ้อมโลกแบบสุดโต่ง อีกฝ่ายเลยงงหนักกว่าเดิมอีกค่ะ
แม้จะเป็นงานที่ยาก แต่บางครั้งก็สนุกที่ได้คุยได้เจอกับคนใหม่ๆ จากที่ไม่รู้จักก็กลายเป็นคนรู้จัก
อย่างตอนไปออกบูทอีเวนต์พิเศษของขนมอุนางิพายที่เดอะมอลล์บางกะปิ มีโอกาสได้ใส่ชุดพายเต้น แล้วลงมาแจกให้ชิมขนมบ้าง ที่นั่นก็จะมีเจ้าถิ่นเป็นลูกหลานใครสักคนของแม่ค้าในนั้น น้องเขาก็จะมานั่งที่หน้าเวทีทุกครั้ง จนวันหนึ่งกำลังยืนอยู่น้องเขาก็ยื่นกระดาษ A4 ใบหนึ่งให้ พอดูแล้วก็เป็นรูปวาดด้วยดินสอที่ทุกคนใส่ชุดพายและมีอุนะคุงอยู่ตรงกลาง ดีใจที่สามารถมอบความสุขเล็กๆ ในกับน้องคนหนึ่งได้ ((หวังว่าน้องจะสบายดีนะคะ))
ยังมีอีกหลายเหตุการณ์จากการได้พบปะพูดคุยกับคนที่ทำให้รู้สึกทั้งเครียด ทั้งเศร้า และสนุก หลากอารมณ์มากเลยค่ะ
ในส่วนงานที่ยากที่สุดนี้ เป็นส่วนที่พี่ชิเก่งมากที่สุดเลย จะมองว่าเป็นพรสวรรค์ก็ว่าได้ค่ะ แม้แท้จริงแล้วจะผสมกับพรแสวงเข้าไปด้วย ทุกอย่างมันดูไหลลื่นไปหมด ไม่มีช่องว่างในการสนทนา มีการโต้ตอบไปเรื่อยๆ เหมือนการตีปิงปอง ขอนับถือจริงๆ จากใจค่ะ
Q: งานที่สนุกที่สุดคืองานอะไร
A: เวลาทำงานเขียน ทำอาร์ตเวิร์ค รู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมากเลยค่ะ แต่บางครั้งเวลาสมองมันตีบตันไปหมดก็รู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน กลับกันเวลาออกบูทหรืออีเวนต์ตอนไม่มีคนมันรู้สึกเวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน พอได้เจอกับคน ได้คุยกับคนบางครั้งเผลอแผล็บเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้ว ได้เวลาเบรกอีกแล้ว
ก็เลยคิดว่าการได้ทำงานหลากหลายมันทำให้งานยิ่งสนุกขึ้นเป็นทวีคูณค่ะ
Q: ตอนนี้ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานในส่วนไหนบ้าง
A: ตอนนี้หลักๆ คือ เขียนแนะนำการท่องเที่ยวในเพจคางาวะ และเพจฟุกุชิมะ แปลเนื้อหาเพื่อลงในเว็บไซต์ We Love Fukushima ค่ะ แล้วก็มีงานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย หรือหากได้รับการติดต่อมาจากลูกค้า เราก็จะรายงานและแจ้งให้พี่ชิทราบ
งานมันหลากหลายเลยยากที่จะตอบว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง และออฟฟิศเราเป็นแบบอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกันค่ะ ช่วยกันได้ช่วย งานเลยผสมผสานกันไปค่ะ
Q: คิดว่าเจ้านายเป็นคนอย่างไร
A: พี่ชิเป็นเจ้านายเป็นผู้นำที่ดีมากค่ะ เป็นแบบอย่างทั้งความคิดและการกระทำ
พี่ชิเป็นคนสบายๆ ในเรื่องทั่วไป ในส่วนเรื่องงานพี่ชิค่อนข้างจะจริงจังมากๆ ค่ะ เราควรไม่ไปล้ำเส้นพี่เขาในส่วนนั้น เล่นคือเล่น งานคืองาน ระวังอย่าเล่นในตอนที่พี่เขาเข้าโหมดการทำงาน อันตรายมากค่ะ คิดว่ายามปกติพี่ชิเหมือนพระแม่อุมาเทวีในตำนาน แต่เมื่อมีคนกระทำไม่เหมาะสมก็จะกลายเป็นพระแม่กาลีค่ะ
ส่วนพี่กุ้ง สำหรับเด็กฝึกงานอาจจะรู้สึกสบายใจกับพี่กุ้งมากกว่า พี่กุ้งเป็นคนสบายๆ ง่ายๆ ใจดี ดูเข้าถึงง่ายไม่ถือตัว ปากร้ายใจดีของแท้เลยค่ะ ข้างนอกอาจดูแข็งกร่าวแต่ข้างในพี่กุ้งนุ่มละมุนมากเลยค่ะ เป็นคนอ่อนโยนคนหนึ่งเลยค่ะ
Q: จากนี้ไปอยากทำงานแบบไหนที่บริษัท
A: ไม่มีคำตอบตายตัวแน่นอนค่ะ แค่อยากเป็นผู้ตามที่ดีค่ะ
Q: คิดว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของบริษัทคืออะไร
A: ส่วนตัวคิดว่าจุดแข็งของบริษัทคือ พี่ชิ ค่ะ เหมือนพี่ชิเป็นศูนย์รวมจิตใจ นี่ไม่ใช่ลัทธิอะไรนะคะ แต่คือพี่ชิ จริงๆ ค่ะ ซึ่งพี่ชิก็ได้ถ่ายทอดวิทยายุทธให้ทุกคน อาจไม่ได้ส่งคัมภีร์ให้แบบโต่งๆ เน้นการทำให้ดู ทำให้เห็น ทั้งเรื่องความคิดและการกระทำ ถ้าเจ้านายไม่ใช่พี่ชิบริษัทอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้นะคะ อย่างการดูแลลูกค้าด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์ค่ะ
อีกอย่างหนึ่งคือ น้อยแต่มาก คนในบริษัทมีไม่มาก และทุกคนล้วนมาแบบ multi-function ทำได้หลายอย่างเลยค่ะ เวลาน้อยคนเวลาตัดสินใจก็ง่ายขึ้นประมาณว่าไม่มากคนไม่มากความค่ะ
เหรียญยังมีสองด้าน เมื่อมีจุดแข็งก็ต้องมีจุดอ่อน
ในส่วนจุดอ่อน คิดว่าก็คือ พี่ชิ เพราะพี่ชิคือทุกสิ่งคือทุกอย่างของเรา ถ้าไม่มีพี่ชิก็คงไม่มีพวกเราค่ะ พี่ชิทำงานหนักมากจริงๆ ตอนทำงานพี่ชิจะลืมทุกอย่างใส่ใจและมีสมาธิกับงานมากๆ แม้กระทั่งลืมป่วย ฉะนั้นพวกเราจะดูแลพี่ชิเองค่ะ ((ดูแลยังไงอันนี้ก็ยังไม่แน่ใจ)) อีกอย่างคือ คนในบริษัทค่อนข้างน้อย ทำให้งานบางอย่างที่ต้องอาศัยความคิดเห็นเยอะๆ ที่ต้องใช้การระดมสมอง อาจจะต้องไปถามความเห็นจากคนอื่นเพิ่มเติมสักเล็กน้อย หรืองานตรวจคำผิดต่างๆ หลายตาย่อมดีกว่าค่ะ
Q: อยากได้เด็กฝึกงานรุ่นใหม่แบบไหน
A: ไม่ขี้บ่น ไม่ขี้นินทา มีความอดทน เสมอต้นเสมอ ไม่ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโกต่อหน้าอีกแบบลับหลังอีกแบบ เป็นต้น แล้วก็ถ้ากินได้เยอะก็จะดีมากเพราะอยากเกษียณจากกองเก็บกวาดบนโต๊ะอาหารแล้วค่ะ อยู่กับพี่ชิไม่เคยรู้จักคำว่า หิวค่ะ
Q: ช่วยฝากข้อความอะไรถึงน้องๆ นักศึกษา
A: อยากจะพูดถึงช่วงเวลา 3 หรือ 4 เดือนของการฝึกงานเป็นช่วงเวลาเหมือนที่เราเดตกับคนที่เราชอบ ค่อยๆ ศึกษาดูใจก่อนจะตกลงว่าเป็นแฟนกัน 3 หรือ 4 เดือน ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาที่บริษัทจะประเมินว่าน้องทำได้ดีไหม ผ่านมาตรฐานหรือผ่านเกณฑ์บริษัทหรือเปล่า ซึ่งส่วนนั้นก็จำเป็นแหละค่ะ ทว่าทางตัวน้องเองก็จะได้ประเมินที่ทำงานไปด้วยเหมือนกันว่า ที่นี่ใช่ที่ที่เราต้องการหรือเปล่า ให้ในสิ่งที่เราต้องการได้ไหม
มองว่ามันคือความสัมพันธ์ในรูปแบบพึ่งพากันของทั้งสองฝ่ายมากกว่า ต่างฝ่ายต่างได้ฝนประโยชน์ ไม่ใช่แค่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหาผลประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าใช่ก็คือใช่ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่ดีพอ แต่แค่เราอาจไม่เหมาะกับงานนั้น เหมือนเวลาเราลองเสื้อผ้า เราชอบแต่ว่ามันไม่ใส่ไม่ได้ คุณเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนร้านหาเสื้อผ้าตัวใหม่ที่เราชอบและใส่ได้ หรือลดน้ำหนัก (อันนี้แอบยากมาก)
แล้วก็สำหรับแนนมองว่าการทำงานมันก็เหมือนการนั่งรถเมล์ เราเลือกที่จะขึ้นรถเมล์คันนี้เพราะผ่านจุดหมายที่เราอยากจะไป แต่พอนั่งไปสักพักหนึ่งเราอาจจะเกิดความคิดว่า เห้ย เราไม่อยากไปที่นั้นแล้วอยากไปอีกที่หนึ่ง ก็กดกริ่งแล้วก็ลงป้ายนั้น แล้วรอรถเมล์คันใหม่มา แล้วก็ขึ้นคันใหม่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดหมายที่เราต้องการ เพียงแค่ส่งสัญญาณหรือบอก เหมือนเวลาเราจะลงรถเมล์เรายังกดกริ่งก่อนลงป้ายเพื่อบอกคนขับให้รับรู้ว่าจะลงแล้วนะ จอดป้ายหน้าด้วย เพราะความชอบและความต้องการมันเปลี่ยนทุกวันอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ
คนที่ลงรถเมล์สายนี้ก่อนเราก็มี คนใหม่ที่ขึ้นรถเมล์สายนี้ก็มา ได้เจอเพื่อนร่วมรถเมล์คนใหม่ๆ เยอะเลยค่ะ
แม้จะนั่งรถเมล์สายเดิม ก็รู้สึกว่าทิวทัศน์ข้างทางไม่เหมือนกันสักวันเลย…
แนนก็แค่เป็นคนหนึ่งที่นั่งรถเมล์สายเดิมซ้ำๆ จนเป็น “กิจวัตร” ไปเสียแล้วค่ะ
หวังว่าทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้จะได้อะไรบ้างแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามจากการเสียเวลาอ่าน Blog นี้นะคะ
-ขอบคุณค่ะ-