BLOG
บทความ
* อ่านประสบการณ์โฮมสเตย์ก่อนหน้า
(1) รู้จักกับหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า ‘ชิรามิเนะ’
(2) บ้านนอกของเราไม่เท่ากัน
กิจกรรมที่น่าสนุกอย่างหนึ่งในการไปโฮมสเตย์ก็คือ การได้ทดลองใช้ชีวิตการทำงานร่วมกับคนท้องถิ่นนั่นเอง ซึ่งเราจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนในท้องถิ่นสุด ๆ ไปเลย โดยในบรรดานักเรียนที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ก็จะถูกจับแยกย้ายให้ไปทำงานในแต่ละสายงาน แต่ละครอบครัว แตกต่างกันออกไป เก็บผักบ้าง ทำขนมบ้าง และเราก็ได้ถูกจับมาช่วยงานในเรียวกังแห่งหนึ่ง
เรียวกังแห่งนี้อยู่ห่างจากที่พักไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ถ้าให้เดินก็คงใช้เวลาสักพัก ผู้ดูแลก็เลยอาสาขับรถพาเราไปส่งที่เรียวกังให้ และถือโอกาสแนะนำเราให้พนักงานของโรงแรมได้รู้จักอีกที
สภาพของเรียวกังก็เหมือนกับเรียวกังทั่วไปของญี่ปุ่น แต่ขนาดเล็กและมีลักษณะเก่า ๆ หน่อย ภายในก็ดูสะอาดสะอ้านพร้อมต้อนรับแขกผู้เข้าพัก หลังจากได้แนะนำตัวอะไรกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ถูกส่งต่อให้พนักงานของเรียวกังท่านหนึ่งดูแลต่อ คุยกันสักพักก็ให้เราเข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นยูนิฟอร์มของทางเรียวกัง พร้อมมีป้ายชื่อที่เขียนด้วยมือไว้ให้
งานเรียวกังก็คงจะหนีไม่พ้นต้องทำความสะอาดห้อง ซึ่งเราก็ได้ช่วยทำความสะอาดห้องพักไปประมาณหนึ่ง หลังจากที่ได้สังเกตดูก็รู้สึกว่าห้องพักก็ไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่ เทียบกับขนาดของเรียวกังแล้วก็พอเข้าใจ อีกทั้งบริเวณนี้ก็ดูไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่คนมักจะมาพักกัน หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก ก็มานั่งจัดอุปกรณ์ amenity ต่าง ๆ สำหรับเตรียมเอาไว้ในห้องพัก
เวลาผ่านไปใกล้จะถึงเวลาเที่ยง ก็ดูเหมือนเริ่มจะมีงานให้ทำแล้ว
พอถึงเวลาอาหารกลางวัน ก็มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งเข้ามาใช้บริการห้องอาหารที่เรียวกังแห่งนี้ งานที่ดูเหมือนง่ายแต่ก็ประหม่าไม่น้อย กับการที่ต้องเสิร์ฟอาหารให้กับลูกค้าในฐานะพนักงานที่เรียวกังของญี่ปุ่น ถ้าพูดถึงญี่ปุ่นแน่นอนว่าทุกคนต้องนึกถึงการบริการที่ยอดเยี่ยม ที่ไม่ว่าใครเคยมาท่องเที่ยวในญี่ปุ่นก็ต้องประทับใจทุกครั้ง แล้วเราที่เป็นคนต่างชาติต้องมาบริการคนญี่ปุ่น จะสามารถทำได้ดีไหม หรือถ้าทำพลาดจะโดนดุไหม เรียกได้ว่ากดดันพอสมควรเลย แต่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง เพราะทุกคนไม่ว่าจะเป็นพนักงานโรงแรมด้วยกันเองหรือลูกค้า ก็เป็นมิตรและชวนคุยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ถึงจะเงอะ ๆ งะ ๆ ไปบ้างแต่ก็ได้รับรอยยิ้มเอ็นดูกลับมา
ระหว่างที่ลูกค้ารับประทานอาหารอยู่ จึงพอได้มีโอกาสคุยกับคนที่ทำงานที่นี่ ก็ได้ทราบว่าที่นี่ก็เหมือนกับเรียวกังทั่วไป ที่จะมีลูกค้าเข้ามารับประทานอาหารโดยไม่เข้าพักเหมือนกัน เนื่องจากบริเวณนี้คนมักนิยมมาปีนเขากัน คนที่เข้ามาพักรับประทานอาหารกลางวันจึงเยอะพอสมควร นอกจากนั้นก็คุยสัพเพเหระไปเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่ และเรื่องราวของประเทศไทยของเราบ้าง
หลังจากที่ลูกค้ากินข้าวเสร็จ ก็ได้เวลาเก็บจานต่าง ๆ และถึงเวลาอาหารของเราบ้าง มาพักกินอาหารในอีกห้องอาหารหนึ่งเพื่อเตรียมตัวต้อนรับลูกค้ากลุ่มถัดไปที่กำลังจะเข้ามา การทำงานโดยรวม 1 วันก็มีเพียงเท่านี้ เป็นเพียงประสบการณ์สั้น ๆ เท่านั้น อาจจะดูสั้นไปแต่สิ่งที่ประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้คือความใจดีของทุกคนที่ได้เจอ ความประหม่าที่มีหายไปกับรอยยิ้มใจดีที่ได้รับ
จากที่สังเกตหลาย ๆ อย่างในเรียวกังแห่งนี้ ทั้งพนักงานและลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการล้วนแล้วแต่เป็นผู้สูงอายุ แทบจะไม่ได้เห็นคนวัยหนุ่มสาวเลยแม้แต่นิด เมื่อมาถึงที่นี่ก็พอได้ยินมาบ้างว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีปัญหาเรื่องคนหนุ่มสาวที่ย้ายออกไปในเมือง และหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยผู้สูงอายุ รวมถึงวิชาชีพบางอย่างที่กำลังจะหายไปตามกาลเวลาโดยไม่มีผู้สืบทอด พอได้มาลองใช้ชีวิตจริง ๆ ก็ได้เห็นปัญหาเหล่านั้นด้วยตาตัวเอง รวมถึงโปรแกรมที่พาเรามาที่นี่ก็มีจุดมุ่งหมายให้เราได้เข้ามามองเห็นปัญหาและช่วยกันแสดงความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ทำอย่างไรหมู่บ้านแห่งนี้จะไม่ถูกทอดทิ้ง
เมื่อได้ฟังเรื่องราวของหมู่บ้านที่มีโรงเรียนที่รองรับได้แค่ชั้นประถมฯเท่านั้น เด็กที่ต้องการเรียนต่อก็ต้องออกไปเรียนในเมือง เมื่อเข้าไปเรียนในเมืองก็มักที่จะหางานทำที่นั่นและไม่ได้กลับมาอีก รวมถึงการขนส่งสาธารณะที่ไม่ได้สะดวกสบายเลย มีเพียงแค่รถบัส 1-2 รอบต่อวันเท่านั้น การจะให้คนรุ่นใหม่กลับมาใช้ชีวิตที่นี่ดูจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
เรื่องยากแบบนี้อาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในเร็ววัน แต่ก็หวังว่ามรดกต่าง ๆ ที่คนที่นี่ภูมิใจจะไม่หายไปตามกาลเวลา