BLOG

บทความ

เรื่องเล่าชีวิตนักศึกษาฝึกงาน เด็กอินเทิร์นหมายเลข 1

เรื่องเล่าชีวิตนักศึกษาฝึกงาน เด็กอินเทิร์นหมายเลข 1

สวัสดีค่ะ เป็นยังไงกันบ้างคะ? สบายดีไหม ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ฉันเป็นอินเทิร์นหมายเลข 1 ที่เพิ่งเข้ามาฝึกงานที่บริษัทโคริแห่งนี้ ได้เกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว ใช้คำว่าเกือบ วันนี้มีเรื่องเยอะแยะมากมายอยากมาเล่าสู่กันฟัง

เริ่มจากเข้ามาได้ยังไง? ฉันกับเพื่อนอินเทิร์นหมายเลข 2 ได้ทำการเสาะแสวงหาที่ฝึกงานจนได้มาเจอกับบริษัทนี้ ทำการส่งเรซูมง เรซูเม่กัน พร้อมกับรอสัมภาษณ์ ด้วยความคาดหวังว่าจะได้บริษัทแห่งนี้ ก็ทำเรซูเม่และหาข้อมูลจนข้ามวันข้ามคืน พร้อมกับอ่านหนังสือสอบไปด้วยในช่วงนั้น หลังจากรอไปไม่กี่วัน ก็ได้สัมภาษณ์งานก่อนเพื่อคัดตัว ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประกวดกันทั้งหมด 4 คน เป็นเพื่อนกันทั้งนั้นเลย และแล้วเพื่อนก็เลือกฉันเป็นคนเข้าห้องเย็นเป็นคนแรก พูดคุยกับพี่ ๆ ผ่านออนไลน์ ตอนแรกเตรียมสมุดไปจดไว้อย่างดี มีคำถามอะไรบ้าง ทำอะไรได้บ้าง โปรแกรมที่ทำเบื้องต้น มีโปรแกรมไหนที่สนใจอยากศึกษา ส่วนความรู้เรื่องท่องเที่ยวก็มีน้อยนิด งานครีเอทก็ชอบพอที่จะทำได้กับเขาบ้าง พูดคุยให้เป็นตัวเองมากที่สุด พอมาคิดอีกทีฉันก็เป็นคนครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ได้สุดสักทาง จะมีแค่ความอดทนและความพยายามนี่แหละนะ ฉันไม่ได้อวยตัวเองนะจริง ๆ ในใจแป๋วไปแล้ว แต่พี่ทุกคนดู alert และเฮฮาก็เลยผ่อนคลายมาก ตลอดการสัมภาษณ์ฉันถือปากกาไว้ในมือ พอออกมาจากห้องเท่านั้นแหละ ดูที่สมุดปรากฏว่าลืมจดค่ะ

หลังจากรอสัมภาษณ์ได้รู้ผลทันที เราสองคนคือผู้ถูกเลือก แต่มีความรู้สึกดีใจและกังวลในเวลาเดียวกัน หลังจากที่สอบเสร็จแล้ว ถึงช่วงปิดเทอมถือโอกาสนี้ ฉันจัดเตรียมตัวเพื่อมาฝึกงาน และถึงอย่างนั้นก็ยังตื่นเต้นอยู่ค่ะ ฉันและเพื่อนได้เตรียมตัวและจองตั๋วรถไฟตู้นอน เดินทางมาสู่เมืองกรุง โดยใช้เวลา 8 ชั่วโมง

ทำไมไม่ขึ้นเครื่องบินละ?

คำตอบของฉันคือ ถ้านั่งเครื่องบินจะถึงเร็วค่ะ

อ้าว! แล้วไม่ดีตรงไหนใช่ไหมคะ

เหตุผลของฉันคือ ลดความตื่นเต้นและความประหม่าค่ะ อันนี้เขาไม่ได้สปอนเซอร์นะคะ บนรถไฟมีที่รับประทานอาหาร มีเตียง มีห้องน้ำที่เหมือนบนเครื่องบิน เดินทางสบายมาก ได้เมาท์มอยกับเพื่อนไปเรื่อย ๆ ถือเป็นประสบการณ์ขึ้นรถไฟที่ชอบมากค่ะ ถ้านั่งรถไฟจะได้เดินทางไปอย่างช้าๆ เปลี่ยนจากความตื่นเต้นเป็นความเหนื่อยแทน ฮ่า ๆ

ถึงที่พักแบบครบ 32 ประการ ฉันและเพื่อนรอพี่เลี้ยงค่อนข้างนาน ยังไม่สามารถเข้าที่พักได้ พี่เลี้ยงไม่ได้มาสายนะคะ แต่วันนั้นเป็นหยุดพอดีก็เลยต้องรบกวนในตอนนั้น ที่พักที่เงียบสงบ และฉันก็ชอบบรรยากาศแบบนี้เช่นกันค่ะ ไม่ติดอะไร พี่ ๆ ที่ฝึกงานดูแลเป็นอย่างดี ประธานของเราก็ดูแลดีมาก ๆ ในวันแรกที่เข้าพักก็ได้พูดคุยทำความรู้จักพี่ ๆ ที่บริษัทด้วยการไปกินเนื้อย่างเกาหลี เห็นแววตั้งแต่วันแรกว่าน้ำหนักจะไม่หยุดที่เลข 5 แล้วสินะ

หลังจากที่มาอยู่ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว การดิ้นรนการใช้ชีวิตได้เริ่มต้นขึ้น ด้วยความไม่มีรถส่วนตัว จึงใช้ความสามารถที่มีเดินออกไปซื้ออาหารและของใช้ส่วนตัว เดินออกไปไกลพอสมควร 2 กิโลเมตร 3 กิโลเมตรก็ไม่หวั่น ตอนแรกฉันบ่นตลอดทาง ช่วงหลัง ๆ ก็ชวนกันไปสำรวจรอบ ๆ ที่พัก เพราะมีเวลาเหลือเฟือ มาก่อนวันฝึกงานจริงประมาณ 10 วัน มาถึงปุ๊บ พักปั๊บ ไม่เลยค่ะ วันถัดไปก็เดินทางไปไหว้พระ ที่วัดโพธิ์ แวะไปเที่ยวพักผ่อนก่อนเข้าฝึกงานจริงกันเสียก่อน

เอาละ! วันที่เริ่มฝึกงานก็มาถึง สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับฉัน คือ การตื่นมาเข้างานเวลา 7.30 น. พอพูดถึงเวลาตื่น จากที่มหาวิทยาลัยสามารถตื่นตอนไหนก็ได้ที่มีเรียน เช้า สาย บ่าย เย็นก็ได้ แต่เช้าของที่นี่คือรุ่งสาง ต้องตื่นมาเตรียมตัวก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อนของฉันเป็นบุคคลที่เรียกได้ว่าอาบน้ำด้วยความเร็วแสง แต่สำหรับฉันขอเวลาขัดสีฉวีวรรณสัก 1 ชั่วโมงค่ะ


อยากจะเล่าถึงการเดินทางจากที่พักสักหน่อย ใช้เวลาไม่นาน 15 นาทีค่ะ แต่ถ้ารถติดละก็ 30 นาทีก็ไม่พอ ต้องเผื่อเวลา 1 ชั่วโมง ใช้บริการจากแท็กซี่เป็นอาจิณ เพราะว่าที่คอนโดไม่มีรถสองแถว รถโดยสาร หรือแม้แต่รถบัสวิ่งผ่านเลย แต่จะว่ามีก็มีนะคะ มีสถานีรถบัสให้นั่งรอค่ะ ฉันเคยนั่งรอที่นั่น พอมีรถบัสขับผ่านก็ไม่จอด Thailand only เท่านั้นค่ะ มี Bus stop แต่พี่รถบัสของเราไม่จอด

หลังจากเดินทางถึงบริษัท วันแรกได้รับมอบหมายงาน 3 ชิ้นทันที งานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว การแปล การหาข้อมูลทัวร์ ในหัวคิดตลอดงานจะพังไหมนะ งานจะเสร็จทันไหม ส่วนงานที่ได้รับมอบหมายมีทั้งถนัดและไม่ถนัด จะหนักไปทางที่ไม่ถนัดมากกว่าอย่างการแปลอะไรแบบนี้ งานแปลจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาไทย ต้องแปลภาษาไทยเป็นภาษาไทยอีกทีถึงจะเข้าใจ เป็นคนไทยที่ไม่เก่งภาษาไทยเอาซะเลย หรือบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ และเป็นสิ่งที่ต้องมาเรียนรู้ใหม่ พอเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็ยังไม่เสร็จ พี่ ๆ ก็คอยสอนงานเรื่อย ๆ หลังจากงานแรกผ่านไป ฉันก็เริ่มเข้าใจเนื้องาน นั่งงมกันอยู่สามวันกว่างานแรกจะเสร็จ ฉันต้องลุ้นในแต่ละวันว่าจะมีงานอะไรมาให้ทำบ้าง นอกจากงานหลักที่ได้รับมอบหมาย พวกเราได้ทำตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบจริง ๆ ตามที่พี่บอกไว้ ในบางครั้งอาจมีงานด่วน งานเร่ง และงานที่ต้องส่งแบบกระทันหัน เดดไลน์ไฟไหม้มากพลังแห่งเดดไลน์สามารถทำได้ทุกอย่าง




บริษัทมีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นสูง สำหรับฉันเป็นการได้ลองอยู่ในสังคมใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากที่เคยอยู่ อาจจะมีบ้างในการทำงานที่มีความกดดัน ก็เป็นเรื่องปกติที่เราต้องเจอในชีวิตทำงานอยู่แล้ว ฉันชอบบรรยากาศในบริษัททุกที่เลยค่ะ บรรยากาศที่มองไปด้านนอกก็จรรโลงใจ บางครั้งพี่ ๆ ก็มีของเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นกำลังใจให้ทำงานในแต่ละวัน แต่ถ้าชอบที่สุดก็คงเป็นโซนของกินค่ะ จะมีตะกร้าน้อย เต็มไปด้วยขนม ของกินที่สามารถไปหยิบทานได้ตามใจชอบ พอถึงช่วงพักกลางวันรับประทานอาหารร่วมกัน ในช่วงแรก ยังรู้สึกเกร็งกิเดสค่ะ ไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไง มีเวลาพักประมาณ 30 นาที พี่ ๆ ทุกคนก็เมาท์มอยกันก็สนุกไปด้วยค่ะ หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ตรงเวลาเอามาก ๆ ทำงานต่อจนมืดจนค่ำ ฉันคิดว่าพวกพี่ ๆ สุดยอดมาก ถึงจำนวนคนน้อยแต่คุณภาพสุด



สัปดาห์ถัดมา เริ่มสนุกในการทำงาน มีแอบเครียดนิดหน่อย เพราะได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างเช่นการเตรียมเอกสารต่าง ๆ การเตรียมพูดบนเวที การได้ทำงานกับชาวญี่ปุ่นและใช้ชีวิตด้วยกัน ช่วงเตรียมงานจัดบูธ งานเยอะมาก ฉันหมายถึงพี่ ๆ ที่งานเยอะนะคะ ส่วนเด็กอินเทิร์นอย่างเราได้คอยซัพพอร์ตเป็นกำลังเสริมให้แล้วกัน ช่วงสัปดาห์นี้ได้ขยับร่างกายมากขึ้นที่ไม่ต้องจดจ่อที่หน้าจอคอมสักเท่าไหร่ค่ะ สำหรับฉันกิจกรรมเป็นอะไรที่สนุก รู้สึกมีอะไรให้ทำเยอะดี เริ่มแล้ว เริ่มมีแววว่าจะปรับตัวได้มากขึ้น

เกือบลืมเล่าอีกเรื่องหนึ่งไปเลย ฉันตื่นเต้นมากค่ะ ที่มีเพื่อนชาวญี่ปุ่นมาฝึกงานที่นี่ด้วย พักที่เดียวกัน (คนละห้อง) กินข้าวด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน อยากแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้แต่บังเอิญเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ค่อยรู้ที่เที่ยวสักเท่าไหร่ เวลาไปเที่ยวที่ไหนก็จะเป็นครั้งแรกของเราทั้ง 3 คน ฮ่า ๆ และมีสิ่งหนึ่งที่ยากที่สุดในการใช้ชีวิตด้วยกัน ก็คือ วันนี้จะกินอะไรดี?

เป็นคำถามที่ยากมากที่สุดแล้วค่ะ ในทุกวัน ฉันและเพื่อนอินเทิร์นหมายเลข 2 ต้องแสวงหาเมนูใหม่ ๆ ตั้งแต่อาหารชื่อดังไปจนถึงอาหารที่ชาวต่างชาติคงไม่คิดจะกิน เช่น ข้าวคลุกกะปิ มะม่วงน้ำปลาหวาน ส้มตำเอย ทุเรียนเอย หรือไม่ก็ก๋วยเตี๋ยว นี่พากินทุกรูปแบบแล้วค่ะ จะชอบดูรีแอคชั่นของเขา แต่ก็กังวลว่าอันนี้ดีไหมนะ ของหวานอันนี้เขาจะชอบกินไหม เมนูนี้จะเผ็ดเกินไปหรือเปล่า กลัวได้แบกเขาไปโรงพยาบาล จะสร้างความทรงจำที่ไม่ดีตอนอยู่ที่ไทยหรือเปล่า เขาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองถ้าป่วยก็คงจะลำบาก แต่โชคดีมากค่ะเพื่อนชาวญี่ปุ่นของฉันกินง่ายอยู่ง่าย ต่างจากภาพที่คิดไว้ในหัวของฉันในตอนแรกไปอย่างสิ้นเชิง จะพาเดินสำรวจ พาเดินไปร้านอาหารที่ไหนก็ไป แถมยังทานของเผ็ดเก่งขึ้นค่ะ ต่างจากวันแรกที่มาคือ ไม่ปรุงอะไรเลย หลัง ๆ เริ่มหยิบจับเครื่องปรุงบนโต๊ะเองอย่างเชี่ยวชาญแล้วค่ะ อีกหนึ่งอย่างคือเขาได้รับสกิลการแกะถุงแกงบ้านเรา ที่รหัสล็อคที่รัดด้วยยางสีแดงไว้เป็นอย่างดี ใกล้แล้วค่ะ ใกล้จะเป็นคนไทยแล้ว ฮ่า ๆ ส่วนฉันได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น ไม่รู้ว่าดีขึ้นไหม แต่คิดว่าคงดีขึ้นมานิดหน่อย

สัปดาห์ที่สามของการทำงาน เป็นสัปดาห์ที่ได้ WFH ช่วงนั้นเกือบทั้งบริษัทติดโควิด ฉันกับเพื่อนเลยได้ทำงานที่ห้อง ฉันได้รับมอบหมายงานให้เขียนบล็อกเกี่ยวกับงานอิเวนต์ เป็นการทำงานที่หรรษามาก มีเสียงเพลงที่ดังไปทั่วห้อง ถึงแม้บรรยากาศในห้องจะสบายแต่ต้องส่งงาน แล้วก็ต้องกลับมาแก้ใหม่ สนุกกับการแก้งาน ไม่รู้ทำไมเหมือนกันค่ะ พอเอากลับมาแก้ใหม่จะเห็นจริง ๆ ว่าจุดนี้เรียบร้อย จุดนี้ผิด จุดนี้ไม่โอเค แก้ไปไม่รู้กี่รอบ แก้จนรู้สึกท้อ “ทำต่อไปอย่าหยุดสาว” เสียงในหัวต่อสู้กับความง่วง จนกระทั่งงานชิ้นโบแดงก็เสร็จพร้อมกับรีบทำงานแปลสัมมนาที่จะมีในเดือนถัดไป เรียกได้ว่าทำงานกันแบบหรรษากันเลยทีเดียว

เล่าพอหอมปากหอมคอ ถือว่าได้ฟังฉันบ่นไปแล้ว หวังว่าทุกคนจะสนุกกับเรื่องเล่าในครั้งนี้ไปกับเด็กฝึกงานอินเทิร์นหมายเลข 1 ไว้เจอกันใหม่อีกครั้งในเวลาที่เหมาะสมนะคะ จากการฝึกงานด้วยระยะอันน้อยนิดแต่ก็มีเหตุการณ์หลายอย่าง มีช่วงที่รู้สึกว่าว่างงาน ทำแค่งานหลักของตัวเอง ไม่มีงานด่วนเข้ามาเลย พอถึงตอนนี้ก็รู้สึกคุ้นชินมากขึ้น และเข้าใจระบบการทำงานของบริษัทมากกว่าช่วงแรก และฉันคิดว่าการมาฝึกงานครั้งนี้ หรือการได้รับโอกาสจากพี่ ๆ ทุกคน ได้รู้จักกันและกัน เป็นความโชคดี ไม่รู้เมื่อไหร่ที่จะได้มาพบกันอีก หลังจากนี้ก็จะตั้งใจเรียนรู้งานค่ะ! ถ้าการฝึกงานเสร็จสิ้นแล้ว ฉันคงนึกถึงที่นี่อย่างแน่นอน