BLOG
บทความ
“ครั้งแรก” ของหลายคนมักเป็นที่จดจำเสมอ
เรื่องนี้จริงไหมยังไม่แน่ใจ และไม่สามารถหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนความคิดนี้ได้
อาจมีคนค้านขึ้นมาว่า ไม่เห็นจริงเลยเรายังจำหน้าพ่อแม่ที่เห็น “ครั้งแรก” ไม่ได้เลย
จำความรู้สึกแรกที่ลืมตาดูโลกไม่ได้ จำก้าวแรกที่เราเดินไม่ได้ จำอาหารคำแรกไม่ได้
จำรสชาติแรกไม่ได้ จำครั้งแรกที่เราหยิบช้อนกินข้าวเองไม่ได้
ในแง่นั้นเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกแล้วว่ามันคือภาวะ “Childhood Amnesia” ซึ่งไม่แปลกที่จะจำไม่ได้ค่ะ
สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือ “ประสบการณ์ครั้งแรก” ในช่วงวัยที่เริ่มจำความได้จะติดตรึงยิ่งกว่ากาวตราช้าง ทนทานยิ่งกว่านันยางเสียอีกค่ะ ยิ่งเหตุการณ์ไปต่างประเทศครั้งแรกยิ่งสร้างความทรงจำไม่รู้ลืมเลย
หากไม่นับร่วมการเดินข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาว การไปสังขละบุรีเพื่อไปซื้อเครื่องเรือน “ประเทศญี่ปุ่น” คือประเทศแรกที่ฉันได้มีโอกาสไป…
การไปญี่ปุ่นครั้งแรกของหลายๆ คนนั้นคงเป็นการท่องเที่ยว และจุดหมายปลายทางคงเป็นโตเกียว โอซาก้า ฮอกไกโด ทว่าการไปญี่ปุ่นครั้งแรกของฉันคือการไปทำงาน และจังหวัดแรกที่ฉันไปนั้น ก็คือ “คางาวะ” จังหวัดเล็กๆ ที่จะทำให้หัวใจคุณพองโต
ทริปครั้งแรกเป็นอย่างไรตามไปอ่านได้ที่นี่ค่ะ
ใครที่กำลังเก็บข้อมูลเพื่อการท่องเที่ยว บทความนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์มากนัก
อย่าผิดหวังไปเลยนะคะ มาใช้จินตนาการ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับบทความนี้กันเลยดีกว่า
ครั้งนี้เป็นการเดินทางมาจังหวัดคางาวะครั้งแรกหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มซาลง การท่องเที่ยวในยุคโควิดจะเป็นอย่างไรหนอ… แถมครั้งนี้ยังไปแบบฉายเดี่ยวอีกด้วย
จากไทยบินตรงไปจังหวัดคางาวะยังไม่มี สนามบินที่ใกล้ที่สุดก็คือ สนามบินคันไซ จังหวัดโอซาก้า ทว่าตอนที่ไปทุกเที่ยวบิน ทุกสายการบินที่บินไปคันไซช่วงนั้นเต็มหมด ก็เลยต้องบินจากไทยไปลงสนามบินฮาเนดะที่โตเกียว แล้วบินในประเทศต่อ โดยต้องผ่านกระบวนการเข้าประเทศที่สนามบินฮาเนดะก่อน
ผู้คนอุ่นหนาฝาครั่งเหมือนกับช่วงก่อนโควิดไม่มีผิด ต่อแถว ตม. อยู่นานเกือบ 1 ชั่วโมง… ใจอยู่ไม่เป็นสุข กังวลกลัวตกเครื่องเสียเหลือเกิน และแล้วก็ได้แปะสติ๊กเกอร์เข้าประเทศญี่ปุ่น!
เดินไปหยิบกระเป๋าตรงสายพาย ผ่านศุลกากร และเดินออกไปอย่างสับๆ ทั้งสับขา และสับสนไปหมด
เมื่อออกมาเดินหาเคาน์เตอร์สายการบินเพื่อฝากกระเป๋าอีกครั้ง ฝากเสร็จต้องนั่งรถชัทเทิลบัสเพื่อไปอีกอาคารหนึ่ง เพื่อบินในประเทศ เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ก็เจอจุดโดยสาร
จนในที่สุดก็ได้นั่งพักหายใจหายคอรอขึ้นเครื่องจากฮาเนดะ ไปสนามบินทากามาทสึ จังหวัดคางาวะ
เสียงประกาศรัดเข็มขัดบนเครื่องบิน วิดีโอที่สอนรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น เสียงล้อเครื่องบินที่ค่อยๆ วิ่งบนรันเวย์ ฟิ้ว~~~ เสียงปีกเครื่องบินที่สีกับลมขณะกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุมวลหมู่ก้อนเมฆ
นอกหน้าต่างขาวโพลนด้วยมวลหมู่เมฆ ท้องฟ้าสีเข้มรอต้อนรับอยู่ข้างบน
ปกติจากที่เห็นก้อนเมฆลอยอยู่เหนือหัว เหมือนก้อนสำลีกลมๆ ตอนนี้กลับเป็นพรมสีขาวที่ปูอยู่ด้านล่างใต้เครื่องบิน
โชคดีวันนี้ท้องฟ้าเปิด เมฆมีไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ทำให้เราได้มองเห็นวิว ทะเล มหาสมุทร ขุนเขา และเกาะน้อยใหญ่
ยิ่งตอนนี้เครื่องบินเข้าสู่ทะเลในเซโตะ ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่สร้างความรู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก เรือเล็กใหญ่ที่กำลังแล่นไปบนผิวน้ำ เกิดเป็นฟองคลื่นเป็นแนวยาวตามทางของเรือ เกาะโชโดะชิมะที่หน้าตารูปทรงเหมือนในแผนที่เลยยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนวัวทั้งตัวจริงๆ ด้วย
โอ้! นั้นหมู่บ้านภาพยนตร์โชโดะชิมะนี่
โอ้! นั้นโรงแรม Bay Resort นี่
โอ้! นั้นแองเจิล โรดนี่
ในระหว่างที่ตื่นตาตื่นใจไปกับสถานที่ต่างๆ ที่แสนคุ้นเคยในมุมที่แปลกตา เครื่องก็เอี่ยวเลี้ยวโค้ง…
โอ้! นั้นมันสะพานเซโตะโอฮาชินี่
ครั้งนี้ได้เรียนรู้เส้นทางบินจากโตเกียวสู่คางาวะ
ไม่นานนักเครื่องเริ่มลดระดับการบิน
ท่าเรือ ทุ่งนา ตึกรามบ้านช่องเริ่มปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น
โอ้! นั้นมันโรงแรม JR Clement นี่
ใครจะไปคิดว่าจะมองเห็นโรงแรม JR Clement จากบนเครื่องบินล่ะ
เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ตามหาสถานที่ต่างๆ จากบนเครื่องบิน เหมือนกลับไปเล่นเกมส์ตามหาประเทศต่างๆ ในแผนที่เลยค่ะ
โชคดีจริงๆ ที่ได้นั่งติดหน้าต่าง
นี่เป็นครั้งที่สิบที่มาจังหวัดคางาวะ คนคางาวะเองหลายๆ คนก็แอบตกใจ และมักโดนถามเสมอว่า มาคางาวะ ชอบที่ไหนที่สุดในจังหวัดคางาวะ
คำถามนี้เหมือนคำถามที่ถามว่า พ่อกับแม่รักใครมากกว่ากัน แน่นอนว่าจะให้เลือกก็เลือกได้ ทว่ามันยากที่จะตัดสินใจและลำบากใจที่จะเลือก ทุกที่ที่เคยไปล้วนมีจุดเด่น จุดน่าสนใจต่างกันไป
สุดท้ายแล้วสิ่งที่พูดออกไปนั้นกลับเป็น “ทะเลในเซโตะ” เฉยเลย
ทะเลในเซโตะมีเสน่ห์ที่แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
เส้นขอบฟ้าที่คั่นระหว่างท้องฟ้าและทะเลช่วยทำให้แยกสองสิ่งนี้ออกจากกันได้ ถ้าดึงเส้นนี้ออกไป ท้องฟ้าและทะเลก็สามารถรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันได้
คลื่นลมที่สงบ ไม่เกรี้ยวกราด ดูเข้ากับคนที่นี่
ถ้าเทียบกับเมืองใหญ่ๆ แล้ว คางาวะดูจะมีวิถี Slow life มากกว่าเห็นๆ
บางคนที่มาที่นี่ก็อาจจะชอบแบบหัวปักหัวปำ มาแล้วอยากมาอีก
บางคนที่มาที่นี่ก็อาจจะชอบพอประมาณ มาอีกก็ได้ไม่มาก็ได้
บางคนที่มาที่นี่ก็อาจจะไม่ชอบ
ใดๆ ล้วนแต่ความชอบและรสนิยมของคนๆ นั้น
สถานที่หนึ่งอาจดูว่างเปล่าไม่เห็นมีอะไรเลยในสายตาของคนๆ หนึ่ง แต่กลับมีอะไรในมุมมองของคนอีกคนก็ได้ อย่าด่วนตัดสินว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี เพราะนั่นเป็นเพียงความคิดเห็นของเราเพียงเท่านั้น
เป็นเรื่องธรรมดาที่ไปเที่ยวแล้วบางครั้งก็รู้สึกผิดหวังกับสถานที่นั้น เพราะรูปที่เห็นบางครั้งก็ผ่านการปรุงแต่งมามากมาย การได้เห็นของจริงนั้นย่อมดีกว่าใช่ไหมคะ
เพียงแค่ตัวหนังสือและข้อความไม่กี่บรรทัดอาจไม่ชัดเจน ไม่เพียงพอ
จากนี้ไปได้เวลามาสัมผัสด้วยอายตนะทั้ง 6 ของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ค่ะ
Go go go~~~