BLOG
บทความ
‘เกาะเทชิมะ’ ดินแดนที่อุดมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ หาดทรายสีขาวตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าคราม ทุ่งนาเขียวขจีกว่า 50 ไร่เรียงรายเป็นขั้นบันไดลดหลั่นกันไป พืชผลทางการเกษตรมีมากมายหลากหลายชนิด อาหารทะเลสดใหม่ ผักเก็บสดๆ จากสวน ข้าว ส้ม และสตรอว์เบอร์รี มีของอร่อยให้ได้กินตลอดทั้งปีค่ะ
ในปี ค.ศ. 2010 จุดเริ่มต้นของเทศกาลศิลปะนานาชาติเซโตะอุจิ หรือ ‘Setouchi Triennale’ ที่จะจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี ได้นำพาเกาะเทชิมะเป็นดินแดนแห่งเกาะศิลปะ
ทว่าการมาเยือนของศิลปะไม่ได้มาเพื่อแทนที่ แต่เป็นการมาอยู่ร่วมกันระหว่างสิ่งเดิม และสิ่งใหม่ ผสมผสานกันจนเป็นหนึ่งเดียวเหมือนอาหารที่ปรุงได้อย่างกลมกล่อม
สถานที่ท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและงานศิลปะ ร้านค้าของคนท้องถิ่น ช่างเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลพอตัวเลยค่ะ
ว่าแล้วก็ขอพาทุกคนไปตะลุยเกาะเทชิมะแบบเบาๆ แบบเหงาๆ ลุยเดี่ยวไม่เกรงใจใครเลยล่ะกันค่ะ
เช้าอันแสนเงียบสงบ ณ เมืองทากามาทสึ จังหวัดคางาวะ ก่อนเช้าวันใหม่จะมาเยือนได้เช็คตารางเรืออีกทีเพื่อความชัวร์
พบว่าเรือจะออกจากท่าเวลา 7.41 น. ไปยังท่าเรืออิเออุระ (Ieura Port) เกาะเทชิมะ ((เกาะเทชิมะ มี 2 ท่า คือ ท่าเรืออิเออุระ และท่าเรือคาราโตะค่ะ ก่อนออกเดินทางอย่าลืมเช็คใน Google map ให้ดีนะคะ)) เห็นเวลาแล้วรู้สึกท้อใจว่าจะตื่นทันไหมนะ เลยแอบส่องตารางเรือเวลาอื่นไว้ด้วย ทว่าดูแล้วถ้าพลาดรอบ 7.41 น. เจอกันอีกที 9.02 น. เลย รู้สึกว่าช่องว่างของเวลามันกว้างเกินไปจนเกินกว่าจะกล้าตกเรือค่ะ ^^;
เลยส่องเส้นทางเดินเรืออื่นเผื่อฉุกเฉินจริงๆ ซึ่งก็จะเป็นเส้นทางที่อ้อมไปอีก เป็นเส้นทาง Takamatsu – Tonosho (Shodoshima) – Karato(Teshima) ซึ่งจะมีรอบเรือที่มากกว่า แต่ก็ใช้เวลาและเงินมากกว่า
เอาเป็นว่าปล่อยให้เป็นเรื่องราวของวันพรุ่งนี้
วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาตามเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ตอนตี 5 ครึ่งเผื่อเวลาเดินทางจากที่พักไปท่าเรือ เผื่อเวลาซื้อตั๋ว และจุดขึ้นเรือด้วย กว่าจะไปถึงท่าเรือก็เกือบจะ 7 โมงครึ่ง สาวเท้าอย่างเมามัน พอไปถึงจุดจำหน่ายตั๋วกลับปิดอยู่พร้อมมีป้ายบอกให้ไปจุดขึ้นเรือหมายเลข XX เอาละสิ
เข็มยาวก็ค่อยๆ วิ่งเข้าใกล้เลข 8 พอไปถึงจุดขึ้นเรือเลยถามเจ้าหน้าที่อีกที “เทชิมะ?” เจ้าหน้าที่ผงกหัวและตอบรับกลับมา พร้อมมอบการ์ดสีเขียวขาว เขียนว่า “Please buy a ticket in a boat”
ขึ้นไปบนเรือและนั่งรอสักพักก็มีนายเรือมาเก็บเงินพร้อมเอาการ์ดคืนไป
วันนี้ท้องฟ้าค่อนข้างหม่น เมฆครึ้มอึมครึมใช้ได้
เรือแล่นเหนือทะเลในเซโตะอย่างเร็วสมแล้วที่เป็นเรือสปีดโบ๊ท ผิวน้ำทะเลกระเพือม ฟองคลื่นสีขาวตีกระทบกับท้องเรือและกระจกจนเป็นเม็ดๆ นั่งไปประมาณ 35 นาที ก็ถึงเกาะเทชิมะเสียแล้ว
นักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่นทยอยลงจากเรือ
8.16 น. เวลาเรือเทียบท่า เกาะยังคงเงียบสงบ แทบจะไม่มีคนเลยก็ว่าได้
ยังเช้าอยู่สินะ…
กลุ่มคุณป้าที่มาเที่ยวนั่งรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย
สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่บนเกาะจะเปิดประมาณ 10.00 น. มองดูนาฬิกาแล้วก็ยังคงมีเวลาเหลืออยู่มากโข
เดิมทีมีแผนจะเช่าจักรยานแล้วปั่นรอบเกาะ ดูจากบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน และเวลาที่มีเหลือแหล่ เลยตัดสินใจว่าวันนี้เดินละกัน
เปิด Google map พร้อมปักหมุดเป้าหมายแรกนั่นก็คือ อาหารเช้าที่ร้าน Tea Olive ที่ในเว็บไซต์ระบุไว้ว่าเปิด 8.00 น. ระยะทางจากท่าเรือประมาณ 2.2 km ถ้าค่อยๆ เดินน่าจะใช้เวลาเดินประมาณ 40 นาทีได้
มัดเชือกรองเท้าให้แน่น แล้วออกเดินทางกันเลย!
ค่อยๆ เดินลัดเลาะถนนเลียบทะเล
เสียงนกกาที่ร้องทักทาย ยิ่งทำให้บรรยากาศทวีความอึมครึม
เดินไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านชาวเกาะ เรือกสวน ไร่นาที่กำลังออกรวงสีทอง โดยมีฉากหลังเป็นทะเลในเซโตะ บรรยากาศช่างเงียบสงบเสียเหลือเกิน นานๆ ทีจะมีรถสักคันวิ่งผ่าน
แรกๆ ก็รู้สึกฮึกเหิม ทว่าเมื่อบ้านเรือนค่อยๆ หายไปทีละหลัง ทีละหลัง จนมีแต่ป่าและเขา พร้อมเสียงนกกาที่ร้องระงมโบยบินเหนือหัว บ้างก็เกาะอยู่บนต้นไม้และเสาไฟ ความเงียบและบรรยากาศที่ปกคลุมไปด้วยเมฆ ดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน จนมีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา
“ถ้าหมีหรือหมูป่ากระโจนออกมาจะทำไง จะมีใครเห็นไหม จะมีใครช่วยทันหรือเปล่านะ”
ระหว่างที่เดินก็ดูระยะทางใน Google map ไปด้วยว่าใกล้จะถึงหรือยังนะ
และแล้วก็เห็นบ้านหลังน้อยอยู่ลิบๆ เมื่อเทียบกับแผนที่แล้ว ที่นี่แน่นอน!!!
รีบสาวเท้าก้าวให้เร็ว ก้าวให้ไว้ไปยังจุดหมาย พร้อมลุ้นในใจว่า ร้านจะเปิดไหมหนอ
เมื่อไปถึงหน้าร้านบรรยากาศยิ่งชวนให้หวั่นใจ รูปปั้น ((เรียกแบบนี้จะถูกไหมนะ)) แปลกๆ เหนือธรรมชาติ ประตูด้านหน้าปิดอยู่ เลยลองเดินไปดูข้างหลังบ้าน เลยถึงบางอ้อว่า อ๋อทางเข้าอยู่ด้านหลังนี้เอง
เสียงระฆังดังเป็นสัญญาณบอกถึงการมาเยือน เจ้าของร้านที่อยู่ด้านในครัวคงจะได้ยินไม่ถนัดเท่าใดนักจึงไม่มีการตอบสนองใดๆ
“ซุมิมาเซ็น” สิ้นเสียงคุณยายเจ้าของร้านก็ออกมาทักทายพร้อมสายตาที่ดูสงสัยและคลางแคลงใจ
ในใจนึกเริ่มสงสัยว่าร้านเปิดหรือยังนะ จึงได้ถามออกไปได้ความว่า เปิดแล้วแต่อาหารจะเริ่มเสิร์ฟตั้งแต่ 11.00 น.
อนิจจามาแต่เช้าข้าวปลาไม่ได้กิน… ไหนๆ ก็มาถึงแล้วเลยขอสักกาแฟเย็นๆ สักแก้วดับกระหาย พร้อมนั่งพักเท้าและขาไปพลางๆ
ไม่นานนักคุณยายก็เดินมาเสิร์ฟกาแฟที่อัดแน่นด้วยน้ำแข็งก้อนใหญ่ซึ่งอาจไม่ค่อยถูกใจคนรักการเคี้ยวน้ำแข็งมากนัก เสียงโทรทัศน์ช่วยทะลายกำแพงของความเงียบงัน เพียงไม่กี่วินาทีในแก้วก็เหลือไว้เพียงน้ำแข็งก้อนโต มองดูนาฬิกาอีกตั้ง 30 – 40 นาทีกว่าจะมีรถบัสมา เราจะรอในร้านจนใกล้ๆ เวลาแล้วค่อยเดินออกไปดีไหม หรือจะเดินไปเลยดี… แม้เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ก็รู้สึกตัดสินใจยากเสียจริง
ลองดูแผนที่ในโทรศัพท์ต้องเดินผ่านป่าและเขาอีกแล้ว เลยลองถามคุณยายดูว่าแถวนี้มีหมีหรือหมูป่าไหม คุณยายตอบกลับมาอย่างน่ารักว่า ไม่รู้เหมือนกันไม่เคยเดินไป ปกตินั่งรถ
คุณยายบอกว่าแถวนี้มีป้ายรถบัสนะ พร้อมพาไปดูตารางเวลารถบัส
หลังจากคิดเงิน คุณยายที่ดูน่ากลัวในตอนแรกได้ออกมาส่งเราข้างนอกพร้อมพาไปชี้ชมป้ายรถเมล์ว่าต้องเข้าไปตรงนั้นแล้วรอนะ
ดูเวลาที่ต้องรอและบรรยากาศของป้ายรถเมล์ที่ห้อมล้อมด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่มเลยตัดสินใจที่จะเดินต่อไป
เมื่อตัดสินใจได้แล้วเลยขอบคุณคุณยาย พร้อมโค้งตัวลา
จุดหมายถัดไปก็คือ “Teshima Art Museum” พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ตั้งอยู่แถวนาขั้นบันได ผลงานของศิลปิน Rei Naito and และสถาปนิก Ryue Nishizawa สถานที่ต้องมาเยือนเมื่อมาเกาะเทชิมะ
ดูจาก Google Map แล้วใช้เวลาเดินประมาณ 21 – 26 นาที ก็ดูไม่ค่อยไกลเท่าใดนัก
ณ เวลานั้นถนนก็ยังคงเงียบสงบเช่นเคย นานๆ ทีจะมีรถวิ่งผ่านมา เมฆฝนก็ยังคงเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุม แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตก
เดินไปเรื่อยๆ ขึ้นเนินบ้าง ลงเนินบ้างมาสักพักใหญ่ๆ ก็มองเห็นอาคารสีขาวของพิพิธภัณฑ์อยู่ลิบๆ ชวนให้ใจชื้น ป้ายบอกทางเริ่มปรากฏให้เห็นบ้างประปราย
ระหว่างเดินเริ่มมีเพื่อนร่วมทาง ซึ่งส่วนใหญ่จะปั่นจักรยานผ่านเราไป
จนในที่สุดรถบัสสีแดงก็วิ่งผ่านเราไปอย่างรวดเร็ว ^^;
ก่อนที่จะถึงพิพิธภัณฑ์เห็นป้ายบอกทางไปยัง Karato-shimizu (唐櫃の清水) เสียงสายน้ำธรรมชาติที่ไหลลงมาชวนให้รู้สึกสดชื่นยิ่งขึ้น ยิ่งได้สัมผัสกับสายน้ำเย็นๆ ยิ่งช่วยฟื้นพละกำลังได้เป็นอย่างดี
ข้างๆ กันเป็นงานศิลปะ Particles in the Air (空の粒子) ที่จัดแสดงในปี ค.ศ. 2010 ผลงานของ Noe Aoki
เมื่อมีแรงขึ้นแล้วเลยออกเดินทางต่อ
ระหว่างทางก็อดไม่ได้เลยที่จะแวะชมวิวไปเรื่อยๆ
กว่าจะรู้ตัวรถบัสสีแดงก็วิ่งสวนกลับมาเสียแล้ว
ได้แต่นึกขำอยู่ในใจ
เหลืออีกไม่ถึงกิโลก็จะถึงพิพิธภัณฑ์แล้ว ทำไมเดินไม่ถึงเสียทีนะ
ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ หรือติดอยู่ในวังวนใดๆ
เพียงเพราะว่า ทิวทัศน์ที่ปรากฏเบื้องหน้าช่างงดงามเกินคำบรรยาย เมฆฝนที่ปกคลุมมาตลอดช่วงเช้าค่อยๆ พัดผ่านไป ท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาวปุกปุยเข้ามาแทนที่ ผิวน้ำทะเลในเซโตะที่เงียบสงบเป็นเอกลักษณ์ก็ทอแสงประกายระยิบระยับสู้กับแสงแดดยาม 10 โมง เสียงจักจั่นและเสียงนกที่ร้องประหนึ่งพูดจาภาษาเดียวกัน
แม้จะมีผู้คนมากมายผ่านไป ทว่ากลับรู้สึกเป็นช่วงเวลาที่แสนเงียบสงบ