BLOG

บทความ

การก่อตัวของเมฆฝนครั้งที่หนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง

การก่อตัวของเมฆฝนครั้งที่หนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง

“การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” คำกล่าวนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยค่ะ
และใครจะไปคิดว่าจะได้เข้าโรงพยาบาลในต่างแดนแบบนี้ด้วย

ชีวิตมีแต่เรื่องคาดไม่ถึงเลยนะคะ

หลายคนคงเคยสงสัยว่าประกันการเดินทางนั้นทำไปเพื่ออะไร ทำไปก็ไม่ได้ใช้…
ทำงานมมาหลายปี ติดสอยห้อยตามเจ้านายไปญี่ปุ่นก็หลายหน แต่ก็ไม่เคยได้ใช้ประกันเดินทางเลยสักครั้ง

แต่แล้ว… ย้อนไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 ได้เดินทางไปเก็บภาพในฤดูใบไม้ร่วงที่ฟุกุชิมะกับพี่ติ้ว วศินบุรี

สถานที่สำหรับถ่ายภาพในฤดูนี้ คือพื้นที่ไอสึ เขตโอคุไอสึ (奥会津)
โอคุ (奥) หมายถึง ลึก 会津 (ไอสึ) หมายถึง พื้นที่ไอสึ แปลรวมๆ แล้ว = พื้นที่ไอสึที่ลึกเข้าไป

“ลึก” คำๆ นี้มีความหมายอย่างไรนะ
ภาพคำว่า “ลึก” ของคุณเป็นอย่างไรคะ

เกริ่นมาเสียนานยังไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ

มาออกเดินทางกันดีกว่าค่ะ

เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอันมืดมิดไร้ดวงดาราประดับ
แสงไฟของกรุงเทพฯ ตอนกลางคืนก็สวยไม่น้อยเลย

พวกเราถึงสนามบินฮาเนดะในตอนเช้า จากนั้นเดินทางต่อเข้าไปในเมือง และนั่งรถไฟชินคันเซ็นเพื่อเดินทางไปจังหวัดฟุกุชิมะ โดยนัดเจอกับพี่ชิระหว่างสถานี พร้อมกินอาหารเที่ยงบนรถไฟ


เจ้าหน้าที่มารอรับที่สถานีฟุกุชิมะ เพื่อเดินทางไปยังโอคุไอสึ
เพื่อรักษาเวลาพวกเราได้เข้าห้องน้ำทำธุระเบา และออกเดินทาง

รถค่อยๆ วิ่งผ่านตัวเมืองฟุกุชิมะ ผ่านท้องทุ่งนา บ้านเรือนค่อยๆ บางตาลง
ระหว่างทางแวะจุดพักรถยืดเส้นยืดสาย และเข้าห้องน้ำเป็นครั้งคราว

เสียงท้องบีบรัดตัวเหมือนมีแก๊สในกระเพาะอาหารร้องระงม นี่คงเป็นผลพวงมาจากการนั่งเครื่องสินะ…
ภายในรถที่มีเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ฉันรู้สึกขอบคุณเสียงเหล่านั้นเสียจริงๆ

พวกเราเดินทางมาถึงจุดหมายแรกวัดเอ็นโซจิ ในตำบลยานาอิสุ โอคุไอสึ


ดวงอาทิตย์ยังคงส่องแสงสวยงาม ใบไม้สีส้มแดงน้ำตาล
เพราะอากาศที่แปรปรวน ประกอบกับ “พายุ” หลายต่อหลายลูกในปีนั้นทำให้ต้นไม้ “รู้สึกไม่ค่อยสบาย”





พี่ติ้ว วศินบุรี ก็ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวแสงอาทิตย์ค่อยๆ ลดคล้อยลงไปหลังภูเขา


แสงแดดค่อยๆ จางไป ได้เวลาเคลื่อนย้ายไปที่พัก


ความมืดเข้าปกคลุม แสงไฟจากหน้ารถส่องสว่างให้เห็นทาง
ในไม่ช้าแสงไฟจากบ้านเรือนก็ค่อยๆ ปรากฏ
รถค่อยๆ เทียบจอดที่หน้าเรียวกังเล็กๆ ริมแม่น้ำทาดามิ


เจ้าของเรียวกังออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
พี่ชิทักทายพูดคุยกับเจ้าของเรียวกังอย่างสนิทสนม

พวกเรามาถึงก่อนเวลาอาหารเย็นพอสมควร
เจ้าหน้าที่เลยชวนไปที่บ้าน ที่มีคุณพ่อ คุณแม่ และสุนัขดัชชุน 2 ตัวแม่ลูก ชื่อยูเมะจังและโซระจัง

บ้านเจ้าหน้าที่มีหมาด้วย! โดยพื้นฐานเป็นคนกลัวหมา เมื่อได้ยินว่า บ้านเจ้าหน้าที่มีหมา ไม่ใช่หนึ่งแต่มีถึงสอง! ยังไม่ทันจะถึง ความกลัวก็เข้ามาปกคลุมจิตใจเป็นที่เรียบร้อย คุณพระคุณเจ้าช่วย…
แต่บรรยากาศ ณ เวลานั้นมันดีมาก จนความกลัวจะไปทำลายบรรยากาศนั้น มันน่ากลัวมากกว่าหมา

เมื่อถึงบ้านเจ้าหน้าที่ ทุกคนออกมาต้อนรับรวมถึงยูเมะจังและโซระจังด้วย

“อากาศเย็นแต่เหงื่อแตกพลั่ก”

คุณแม่เอาขนมผลไม้ออกมาต้อนรับอย่างเต็มที่ โซระจังและยูเมะจังเดินวนรอบๆ คงเป็นเพราะได้กลิ่นอาหาร
เวลาที่ค่อยๆ สร้างร่วมกันนั้นทำให้ความกลัวค่อยๆ ลดลง…
เจ้าสองตัวนี้ก็นิสัยดี จากความกลัวกลับเป็นความชอบขึ้นมาเฉยเลย

จู่ๆ ก็เหมือนเข้าใจว่าทำไมคนถึงชอบเลี้ยงหมา อยากจับอยากลูบ มันรู้สึกดีก็หัวใจจริงๆ ค่ะ
มีความสุขมากขนาดไหนนั้นดูสีหน้าพี่ชิได้เลยค่ะ ^^




เมฆฝนแห่งความกลัวที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจได้พัดผ่านไปแล้ว แสงอาทิตย์ที่สดใสและอบอุ่นเข้ามาแทนที่


เมื่อถึงเวลาอันสมควร ก็ได้เวลาโบกมือลาโดยคิดว่าอาจเป็น “ครั้งสุดท้าย” ที่ได้พบกัน… เศร้าจัง…

พอถึงโรงแรมพวกเราก็กินอาหารเย็นที่โรงแรมจัดเตรียมไว้ให้
เมฆฝนลูกที่สองที่ก่อตัวในกระเพาะอาหารทำให้อาการไม่ค่อยสู้ดีนักแต่ก็กินจนหมด


ก่อนแยกย้ายขึ้นห้องได้กระซิบบอกพี่ชิเจ้านายเป็นกรายๆ ว่ารู้สึกเจ็บท้องนิดหน่อย เพราะพี่ชิเคยบอกว่า “ถ้ารู้สึกไม่สบายให้บอกอย่าฝืนเพราะถ้าอาการหนักแล้วจะแย่กว่าเดิมและอาจทำให้คนอื่นลำบากไปด้วย อาจจะมีผลกระทบตามมามากกว่าเดิม”

จึงรีบเข้านอนเพราะตอนเช้าต้องออกก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อไปถ่ายภาพ Blue Hour
ก่อนนอนกินองุ่นที่คุณแม่เจ้าหน้าที่ให้มา หลับฝันดี


ตื่นมาตอนเช้ามืด อาการเจ็บท้องก็ยังอยู่ความรู้สึกเหมือนโดนเข็มจิ้มอยู่ด้านใน รู้สึกร้าวไปยันหลัง
ความกลัวว่าจะเป็นอะไรก็ยิ่งทวีขึ้น และกลัวกระทบกับงานก็มากขึ้นเช่นกัน

ออกไปเก็บภาพตอนเช้ารอบๆ โรงแรมกับพี่ติ้วตามแผนการ ยิ่งขยับร่างกายมันก็ยิ่งรู้สึก เจ็บแปลบขึ้นมาทันที♪ (ทำนองก็มาเลยสินะคะ 555)





เมื่อถ่ายภาพเสร็จก็กินข้าวเช้า ซึ่งก็เหมือนการเพิ่มมวลให้เมฆฝนลูกที่สองที่ตอนนี้เริ่มมีฟ้าแลบ และฟ้าร้องประปราย


กำหนดการทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม พวกเราเดินทางไปยังวัดเอ็นสึจิ และเจอกับเจ้าหน้าที่ที่นั้น ระหว่างที่พี่ติ้วกำลังถ่ายภาพอยู่นั้น เจ้าหน้าที่และพี่ชิก็คุยกันเรื่องอาการของเรา

ความเกรงใจประเดประดังเข้ามา


ทุกคนต่างกลัวว่าจะเป็นไส้ติ่ง แต่ตามหลักสูตรที่ผู้เฒ่าผู้แก่บอกเจ็บท้องไส้ติ่งต้องเจ็บตรงกลางค่อนไปทางขวา เลยคิดว่าไม่น่าจะใช่ เพื่อความสบายใจของทุกคนและอยากหาย แถมเรายังมีประกันเดินทางที่ทำทุกครั้งเวลาเดินทางมาทำงานแต่ก็ไม่เคยได้ใช้เลย ได้เวลางัดมันออกมาใช้แล้ว!


เมื่อได้ข้อสรุปเลยแจ้งพี่ติ้วให้ทราบ และระหว่างทางได้แวะส่งพี่ชิและแนนที่โรงพยาบาลประจำตำบล

อาคารหลังสีขาวดูไม่ใหญ่มากเหมือนมีแค่สองชั้น
ประตูอัตโนมัติเปิดออกลมอากาศอุ่นๆ ข้างในสัมผัสใบหน้า

พี่ชิช่วยติดต่อที่เคาท์เตอร์เพื่อทำประวัติผู้ป่วยให้
พยาบาลและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลดูใจดีมากเลย

เมื่อทำประวัติเสร็จ แจ้งอาการเบื้องต้น และเอาเอกสารของบริษัทประกันสำหรับให้แพทย์เขียนใบรับรองให้เพื่อเป็นเอกสารแนบสำหรับทำเรื่องเบิกภายหลังค่ะ

เมื่อเอกสารเรียบร้อยพวกเราไปนั่งรอเรียกตรวจ
คนส่วนใหญ่ที่มาหาหมอนั้นส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดเลยก็ว่าได้เป็นผู้สูงอายุค่ะ

พวกเราก็นั่งรอกันไปเรื่อยๆ และแล้วพยาบาลก็ขานชื่อของเราค่ะ…
ได้เวลาเข้าห้องตรวจแล้ว…….


สุขสันต์วันสุขค่ะ♥♪