BLOG

บทความ

Return to Fukushima ดีใจที่ได้พบกัน… (ตอนสุดท้าย)

Return to Fukushima ดีใจที่ได้พบกัน… (ตอนสุดท้าย)

เช้านี้ก็มีเสียง Morning call มาอรุณสวัสดิ์เช่นเคย…
อากาศ (ในห้อง) อบอุ่นผิดกับบรรยากาศสีขาวโพลนด้านนอก
แสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ เจิดจ้าหลังภูเขาที่มีต้นสนและต้นไม้อื่นที่ผลัดใบจนมองเห็นหิมะสีขาวที่ปูอยู่ด้านล่าง ไอหมอกยามเช้าเหมือนเป็นฟิลเตอร์ให้กับพระอาทิตย์ไม่ให้แยงตาผู้ชมมากนัก



วิวแบบนี้ที่ชมได้เพียงฤดูหนาวเท่านั้น…

จากโรงแรมแอบมองเห็นลานสกีเล็กๆ ที่วันนี้เรามีโปรแกรมจะไปสนุกกันให้สุดเหวี่ยง


พี่แอ๊ะพาแฟนคลับกลุ่มหนึ่งไปเล่น Sled กระดานเลื่อนที่จะได้ไถลลงมาอย่างเมามัน เป็นพื้นที่ที่สนุกได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ส่วนพี่ชุนั้นพาแฟนคลับไปยังจุดเช่าสโนว์บอร์ดและอุปกรณ์ต่างๆ

วันนี้อากาศดีไม่หนาวมากจนเกินไป หิมะก็นุ่มฟูเดินง่ายกว่าเมื่อวาน
ทิวสนสีน้ำตาล ท้องฟ้าสีคราม หิมะสีขาว สีสันจากธรรมชาติที่ชวนให้รู้สึกจรรโลงใจอย่างไม่มีเหตุผล





พวกเรามาลานสกีตั้งแต่เช้า ช่วงนั้นคนยังไม่ค่อยมี ประหนึ่งเหมือนเช่าลานสกีเอาไว้เฉพาะแค่พวกเรา
ในบรรยากาศแบบนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “การถ่ายภาพ”


พี่ชิรับหน้าที่เป็นตากล้องจำเป็น ไม่รู้ว่าพี่ชิอยู่กับพี่ติ้วนานไปหน่อยค่อยๆ ซึมซับจนตอนนี้วิธีถ่ายรูปของพี่ชิแทบจะไม่มีภาพไหนที่ยืนถ่ายเฉยๆ พี่ชิแทบจะตัวติดพื้นเลยทีเดียว




ทว่าภาพที่ได้ออกมานั้นก็คุ้มค่ากับการล้มตัวลง
เจ้านายเราเป็นทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ




พอสายๆ คนก็เริ่มมา เจ้าหน้าที่เริ่มกันคนออกจากพื้นที่เพราะเวลาคนเล่นสกี หรือสโนบอร์ดจากข้างบนไถลลงมาอาจจะชนกันเข้าได้ อันตรายมาก

พวกเราจึงระเห็จออกมาจากโซนอันตราย มาอยู่ในที่ที่ปลอดภัย

ระหว่างนั้นคุณกัน นภัทรก็ค่อยๆ ฝึกฝนสโนว์บอร์ดเรื่อยๆ จนชำนาญ


เล่นพอหอมปากหอมคอก็ได้เวลาออกจากโรงแรม

เหมือนท้องยังอิ่มจากอาหารเช้า ก็ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันอีกครั้ง
มื้อเที่ยงวันนี้คือ คิตะคะตะราเม็ง (Kitakata Ramen) ราเม็งชื่อดังของญี่ปุ่น ที่ร้านราเม็งคาวะเคียวราเม็งคัง (Kawakyo Ramen-kan)


ปกติร้านนี้จะให้บริการแบบเป็นบุฟเฟ่ต์ แต่ด้วยวันที่เราไปนั้นตรงกับวันธรรมดา ซึ่งมีคนมารับประทานน้อย และสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยมากินนั้นลดลง ทางร้านเลยปรับใหม่เป็นวันธรรมดา จันทร์ – ศุกร์จะเปิดให้บริการเป็นอาหารชุด โดยในชุดจะมีคิตะคะตะราเม็ง ข้าวหน้าหมูทอดซอสคัตสึ และเครื่องเคียงนานาที่เป็นอาหารท้องถิ่นของฟุกุชิมะ จะทำตามจำนวนที่สั่งไว้ล่วงหน้าเท่านั้น เพื่อลดปัญหาวัตถุดิบเหลือทิ้ง

สำหรับใครที่อยากกินบุฟเฟ่ต์ต้องปรับกำหนดการให้มาตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งวันนั้นอาจจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนค่ะ

และนี่คือ โฉมหน้าอาหารมื้อเที่ยงของเราในวันนี้
แม้จะรู้สึกอิ่ม พอกินเข้าไปกับคล่องคอมากเลยค่ะ





เมื่อท้องอิ่มก็ได้เวลาเดินย่อย ที่ชั้น 1 ของที่นี่มีร้านขายของฝากที่เป็นราเม็งกึ่งสำเร็จรูปเพียบเลยค่ะ

มาชอปปิงกันได้




ร้านตั้งอยู่ใกล้ๆ ทะเลสาบอินะวะชิโระ (Lake Inawashiro)
อยู่ใกล้ขนาดนี้ก็ต้องแวะตามสมควรค่ะ

ที่นี่เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุด 1 ใน 4 ของญี่ปุ่น


ในฤดูหนาวจะได้ชมหงส์สีขาวและนกเป็ดน้ำอพยพ แม้จะมีประชากรนกเป็ดน้ำมากกว่าหงส์สีขาวจนอาจทำให้ผิดหวังไปบ้าง


ทว่าวิวของทะเลสาบอินะวะชิโระที่ได้ชมนั้นกลับงดงามโดยที่ได้โดยที่ไม่ต้องมีอะไรเลยก็ได้ค่ะ เรียบง่ายและสวยงาม สมกับฉายา “ทะเลสาบแห่งกระจกสวรรค์”




กินคาวไม่กินหวานอาจจะไม่ครบสูตร

ก่อนที่จะย้ายไปเมืองไอสึ วากามัตสึ (Aizu Wakamatsu City) เมืองหลักทางภาคตะวันตกของจังหวัดฟุกุชิมะ

แวะเติมความหวานด้วยซอฟต์ครีมที่จุดพักรถอินะวะชิโระ (Michinoeki Inawashiro)

ความสนุกอย่างหนึ่งเมื่อมาเที่ยวญี่ปุ่นนั้นคือ การตามล่าซอฟต์ครีมแสนอร่อยที่นี่เองก็มีซอฟต์ครีมเฉพาะถิ่นที่หากินได้แค่ที่นี่เท่านั้น!
นั่นก็คือ ซอฟต์ครีมรสนมของอินะวะชิโระ


เมื่อท้องอิ่มก็เข้าไปเมืองไอสึ วากามัตสึกันเสียที
ที่แรกที่แวะของเมืองนี้ก็คือ Nisshin Kan นิชชินคังโรงเรียนระดับแนวหน้าที่มีชื่อเสียงที่สุดของแคว้นไอสึ




ที่นี่ได้ลองยิงธนูด้วย
เซนเซ หรือคุณครูที่นี่กล่าวชมคุณกันไม่ขาดปากเลยว่า ท่าดี ผลลัพธ์ออกมาก็ดีด้วยค่ะ



จากนั้นก็ไปต่อกันที่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมและเป็นแลนด์มาร์คของเมือง นั่นก็คือ “ปราสาทสึรุงะ” (Tsurugajo Castle) จุดเด่นของปราสาทนี้คือ ปราสาทกำแพงขาวหลังคาแดง

ที่ลานจอดรถบริเวณหน้าทางเข้าปราสาทเจ้าหน้าที่ของเมืองไอสึ วากามัตสึ ก็ได้ถือป้ายออกมาต้อนรับพวกเราเช่นเคย


การต้อนรับที่เรียบง่าย ก็สร้างความพิเศษได้ทุกช่วงเวลาจริงๆ ค่ะ

เดินไปตามทางลัดเลาะไปตามถนนโดยมีปราสาทสีขาวหลังคาสีแดงเป็นจุดหมาย





ช่างน่าเสียดายที่ตอนนี้เรามานั้นปราสาทส่วนหนึ่งกำลังซ่อมบำรุง ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จสิ้นเดือนมีนาคมนี้ค่ะ
ถือเสียว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ได้เห็นปราสาทสึรุงะในอีกรูปแบบหนึ่งค่ะ

วันนี้อากาศชื้น หนาวเย็นยะเยือก แม้หิมะมีไม่มากนักแต่กลับหนาวเหน็บกว่าทุกวัน

ที่นี่เป็นที่สุดท้ายตามกำหนดการของวันนี้และสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายที่จังหวัดฟุกุชิมะ
ทุกวันคุณกันและแฟนคลับจะถ่ายภาพคู่เป็นที่ระลึกคนละภาพ
วันนี้ทุกคนเลยได้ภาพคู่โดยมีปราสาทสึรุงะที่กำลังปรับปรุงเป็นฉากหลัง
นอกจากจะเป็นบันทึกความทรงจำการมาเที่ยวกับคุณกัน ยังสามารถบันทึกไว้ได้อีกว่า มาในช่วงเวลาที่ปราสาทซ่อมบำรุงพอดิบพอดี ซึ่งโอกาสแบบนี้เกิดขึ้นน้อยมาก


พวกเรารอสักพักใหญ่เพื่อชมไฟ แสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ เลื่อนหายไป จนความมืดค่อยๆ เข้ามาทักทาย แสงไฟประดับปราสาทก็ส่องสว่าง จากปราสาทสีขาวในตอนกลางวัน กลับเปลี่ยนเป็นสีม่วงครามในยามค่ำคืนดูกลมกลืนไปกับราตรีที่เงียบสงบ





ได้เวลาเดินทางสู่ที่พักในคืนนี้ คืนสุดท้ายที่จังหวัดฟุกุชิมะ
ระหว่างเดินทางมุ่งหน้าไปยังโรงแรม หยาดฝนเม็ดเล็กโปรยปรายจากฟ้า ที่ปัดน้ำฝนทำงาอย่างหนักหลังจากนอนพับมานาน

พี่แอ๊ะประกาศบนรถว่าคืนนี้จะมีหิมะตก ยังไม่ทันขาดคำเมื่อรถบัสเทียบจอดที่โรงแรม หิมะสีขาวที่ยากจะเดาว่านี้ฝนหรือหิมะกันแน่ตกลงมากระทบไหล่และใบหน้า

คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ ในยามหิมะโปรย

เช้าวันใหม่มาทักทายอย่างไม่รู้ตัว
วันนี้ได้เวลาเดินทางมุ่งหน้าสู่มหานครโตเกียวที่ไม่เคยหลับใหล


ระหว่างทางแวะพักนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปยังสมัยเอโดะ ที่หมู่บ้านนิกโกเอโดะ (Edo Wonderland Nikko)


ที่นั้นคุณกัน นภัทร คุณพ่อ คุณแม่ ญาติๆ และแฟนคลับส่วนหนึ่งก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้สมกับหลงยุคมา





ลมหนาวพัดจนต้นไผ่เอียงลู่ไปตามลม



เหมือนบรรยากาศที่เกิดขึ้นก่อนนักดาบอดฝีมือจะประดาบกัน
ทุกคนแยกย้ายไปถ่ายภาพตามอัธยาศัย






มื้อเที่ยงวันนี้ฝากท้องไว้ที่หมู่บ้านนิกโกเอโดะ

ก่อนจะยิงยาวเข้าโตเกียว
ระหว่างทางแต่ละคนก็ทยอยผล็อยหลับไป

ในที่สุดเราก็เข้าโตเกียวอย่างเป็นทางการ
“TOKYO SKYTREE” สัญลักษณ์ของโตเกียวรอต้อนรับจากทางด่วน



วันนี้โรงแรมที่เราพักก็อยู่ใกล้โตเกียวสกายทรีสุดๆ
โรงแรม Tobu Hotel Levant Tokyo ตั้งอยู่ไม่ใกล้สถานี Kinshicho



จากห้องพักสามารถมองเห็น TOKYO SKYTREE ได้อย่างสบายใจ

มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
บางครั้งเราก็อยากนั่งโง่ๆ มองดูอะไรเรื่อยเปื่อย
ใช่ค่ะ TOKYO SKYTREE ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย แสงไฟที่หมุนวนรอบๆ TOKYO SKYTREE มีเสน่ห์ดึงดูดชวนมองอย่างบอกไม่ถูก





ช่างเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะพรรณนา

วันนี้ขอเปิดหน้าต่างนอนดู TOKYO SKYTREE ไปเรื่อยๆ ละกัน


เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เช้านี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ญี่ปุ่นแล้ว!


ออกมาก็ได้พบกับหิมะที่ตกหนักเหมือนฝนห่าใหญ่


หิมะดูสวย แต่ก็สร้างความลำบากไม่น้อยเลย
กำหนดการต้องปรับให้เร็วขึ้น ต้องทำเวลาในโตเกียวให้เร็วขึ้น เพราะเมื่อหิมะตกหนัก เส้นทางการจราจรจากโตเกียวไปสนามบินอาจจะปิดก็เป็นได้ และก็อาจจะตกเครื่อง

อาจเป็นเพราะโอกาสที่ชาวบ้านเมืองร้อนอย่างเราจะได้เห็นหิมะมันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน การได้สัมผัสหิมะจากฟ้าก็ทำให้หัวใจเต้นระรัวไม่น้อยเลย

แทบจะทุกคนออกไปถ่ายรูปกับหิมะเป็นที่ระลึก เริงร่าภายใต้หิมะที่โปรยปราย ขณะที่คนญี่ปุ่นกลับก้มหน้าก้มตาภายใต้ร่มคันใหญ่ที่ช่วยป้องกันหิมะตกใส่เสื้อผ้า ในเช้าวันใหม่ก่อนไปทำงาน

สถานที่เดียวกันภาพที่เห็นกลับต่างกันคนละขั้ว

จากโรงแรมเดินทางไป TOKYO SKYTREE ใช้เวลาเพียงประมาณ 10 นาทีเท่านั้น
ที่นั้นเจ้าหน้าที่ Tobu ก็ต้อนรับอย่างขมีขมัน พร้อมมอบของที่ระลึกให้กับทุกคน




พวกเราโดยสารลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่อยู่ในระดับ 350 เมตร เพื่อชมวิว
และสิ่งที่พวกเราได้เห็นเบื้อหน้าผ่านกระจกใบใหญ่ก็คือ … เมฆหมอกสีขาว…
เมื่อเมฆเคลื่อนตัวผ่านไปวิวมหานครโตเกียวก็ค่อยๆ เผยออกให้เห็นอย่างเขินอาย
ช่างเป็นช่วงเวลาน่าอัศจรรย์ใจดีแท้

เจ้าหน้าที่อธิบายว่าตอนนี้เรากำลังอยู่เหนือเมฆ!!!
ฝันที่ไม่อาจฝัน วัยเด็กอยากเป็นโงกุนสักครั้ง ในที่สุดก็ได้อยู่บนก้อนเมฆสมใจแล้ว ☁
10% ที่จะได้เห็นภาพแบบนี้ และพวกเราคือผู้ที่ถูกเลือกเช่นเคยค่ะ



และนี้คือการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกหลังเกิดโควิด
ช่วงเวลาที่พวกเรารอคอยที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนก่อนช่วงเวลานั้น

เรื่องราวอีกบทหนึ่งที่บันทึกลงบนหน้ากระดาษที่สามารถกลับมาเปิดอ่านได้ทุกครั้งเมื่อรู้สึกคิดถึง
แม้ไม่ละเอียดแต่ก็หวังว่าจะช่วยกระตุ้นความทรงจำจางๆ ให้กลับมาเป็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่ได้พบกันในทริปนี้ค่ะ
ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งนะคะ