BLOG

บทความ

Summer Vibe ((ว้าย)) in Fukushima ตอนที่ 2

Summer Vibe ((ว้าย)) in Fukushima ตอนที่ 2

ความเดิมตอนที่แล้ว

หลังจากผ่านเรื่องหฤหรรษ์มาได้ ก็ได้เวลาเปิดโหมดพักเรื่องโหดๆ กันเสียหน่อย

ที่นั่งริมหน้าต่างในตู้ที่ไม่ต้องจองหรือ non-reserve ถูกจับจองเป็นที่เรียบร้อย วันนี้ผู้คนแน่นขนัดเต็มรถไฟเลยทีเดียว งั้นนั่งริมทางเดินก็ได้ แล้วขโมยวิวของหน้าต่างอีกฝั่งละกัน

นั่งผ่านไป 1 สถานี 2 สถานี จำนวนผู้เดินทางก็ไม่ได้ลดลงไปกลับเพิ่มขึ้น จนที่นั่งเต็มทุกที่นั่ง บางครอบครัวก็ต้องนั่งแยกกันชั่วคราว


จนสถานี Utsunomiya ผู้โดยสารลงไปที่นั่งโล่งไปประมาณหนึ่ง ได้เวลาขยับขยายโยกย้ายที่นั่งไปนั่งที่นั่งริมหน้าต่าง ที่นั่งริมหน้าต่างยังดีเสมอ วิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างเป็นทุ่งนาสลับกับบ้านหลังเล็กหลังน้อย พอใกล้ๆ ตัวเมืองก็จะเห็นตึกสูงบ้างเป็นบางครั้งบางครา แต่ก็ไม่ได้สูงเฉียดฟ้าเหมือนกรุงเทพฯ




ชมวิวไปพลางๆ กว่าจะรู้ตัวก็สถานี Nasushiobara เสียแล้ว สถานีก็มีคนลงเยอะไม่แพ้กันเลย
นี่สินะสถานีที่เกือบได้ลงแล้ว


รถไฟชินคันเซ็นวิ่งอย่างเร็วสมชื่อรถไฟหัวกระสุน มองหน้าต่างไปนานๆ ก็แอบลายตาไม่น้อยเลย
วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใสสุดๆ ไปเลย

ท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาวฟูเหมือนก้อนสำลีเลย


การเดินทางจากโตเกียวมายังฟุกุชิมะ โดยรถไฟชินคันเซ็น ช่างเร็วเหลือเกินใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 40 นาที โดยประมาณ
ขับรถจากถนนเพชรบุรีไปอโศกตอนเย็นยังนานกว่าเลยค่ะ ^^;
หนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีดูจิ๊บๆ ไปเลยค่ะ

เสียงประกาศในรถไฟแจ้งว่า “สถานีต่อไป Shin-shirakawa”
ไม่รีรอรีบแจ้งพี่ยูมิใน LxNE ว่าอีกไม่นานจะได้พบกันละนะ
พี่ยูมิผู้ที่ถึงก่อนแล้วก็ได้ส่งรูปรถเช่า ที่จะใช้เป็นยานพาหนะหลักในการเดินทางในครั้งนี้มาให้

ไม่ทันไรก็ถึง Shin-shirakawa แล้ว~


\ Konichiwa 🌤 Fukushima /


อากาศข้างนอกร้อน แต่ไม่ระอุ
ร้อนแบบพร้อมไหม้ทุกสิ่งอย่าง


บริเวณทางออกพี่ยูมิโบกมืออยู่ไหวๆ เป็นสัญญาณว่าอยู่นี้จ้า

เสี้ยววินาทีแรก คือ ใครอะ?
อ๋อ พี่ยูมิ~

ลงไปยังลานจอดรถ ที่วันนี้โล่งอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศเมืองก็เงียบสงบใช้ได้เลย


ที่หมายแรกของพวกเราในวันนี้ก็คือ “ปราสาทชิราคาวะ โคะมิเนะ” (https://welovefukushima.com/sightseeing/ปราสาทชิราคาวะ-โคะมิเนะ)

พี่ยูมิกดจิ้มๆ Navigator ผู้นำทางที่สำคัญในทริปนี้ เราก็เปิด Google Map ในมือถือช่วยอีกทางเผื่อว่าอันใดอันหนึ่งจะช้าไปเพียงลมหายใจเดียว

ผู้นำทางพร้อม ทุกอย่างพร้อมก็ออกเดินทางกันเลย!!!!

ปกติเวลามาฟุกุชิมะ จะได้เห็นวิวต่างๆ ในมุมแบนๆ ผ่านหน้าต่างข้างๆ
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าท้องฟ้าฟุกุชิมะกว้างแค่ไหน


จากสถานี Shin-shirakawa ขับรถไม่นานประมาณ นาที ก็ถึงจุดหมายแรก
ลานจอดรถใกล้ๆ ทางเข้าสวนแน่นไปด้วยรถ แต่ก็ยังมีพื้นที่ว่างให้จอด
แม้ว่าจะเป็นวันหยุดยาวของญี่ปุ่น แต่ที่นี่ก็ยังมีคนบางตากว่าที่คิด

ที่นี่เปิดให้เข้าฟรี ทั้งในพื้นที่สวนและด้านในปราสาท
เมื่อเดินเข้าไปฐานหินที่เรียงเป็นชั้นๆ เพื่อเป็นฐานให้ปราสาทที่อยู่ด้านบนปลอดภัยจากการมารุกรานของศัตรูโดดเด่นสะดุดตา


และอีกอย่างที่แตะตาไม่แพ้กันเลยก็คือ “ต้นสน” รูปทรงแปลกตา มองไปมองมาคล้ายหัวผักกาดเลย น่าสนใจมากๆ เลยค่ะ



จากนั้นก็เดินเลียบฐานหินไปเรื่อยๆ ก็เจอทางเข้า จากจุดนี้มองเห็นตัวปราสาทด้วยล่ะค่ะ


ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรี โดยมีเวลาเปิดปิดในแต่ละเดือนที่แตกต่างกันไป
ระหว่างทางก็สังเกตเห็นชาวเมืองมาพักผ่อนเดินเล่นกันเป็นครอบครัวเล็กใหญ่ ดีจริงๆ เลยค่ะ



เมื่อเดินผ่านประตูก็เดินต่อไปตามทางลาดแต่ไม่ชันเพื่อขึ้นไปปราสาทชั้นบน



บรรยากาศในฤดูร้อนช่างชวนให้รู้สึกสดชื่นผิดกับอากาศที่ร้อนตับแลบ เสียงจิ้งหรีด ลมพัดอ่อน หญ้าสีเขียว ฟ้าสีคราม และปราสาทสีขาว รวมๆ แล้วช่างสบายตาจริงๆ


เราสามารเข้าชมด้านในปราสาท การออกแบบภายในที่สร้างมาเพื่อป้องกันข้าศึก รูเล็กรูน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจเพื่อโจมตีและรับมือผู้รุกราน






จากด้านบนปราสาทสามารถมองเห็นเมืองชิราคาวะ และไฮไลต์ของที่นี่คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูกาลที่ดอกซากุระจะออกดอกบานสะพรั่งงดงาม ในภาพที่เห็นเป็นต้นไม้เขียวๆ ในฤดูใบไม้ผลิก็จะมีดอกซากุระผลิดอกออกมาให้ชมกัน ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมที่นี่จนแน่นขนัด


จุดสำคัญของที่นี่นอกจากชมซากุระแล้วยังมีเมนูห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง มาแล้วต้องมาโดนให้ได้เลยก็คือ “เบอร์เกอร์ชิราคาวะดารุมะ” (Shirakawa Daruma Burger)ที่แค่เห็นป้ายหน้าร้านก็อยากจะลองชิมให้จงได้


แป้งเบอร์เกอร์นั้นได้นาบลวดลาย ‘ชิราคาวะดารุมะ’ ตุ๊กตาดารุมะท้องถิ่นของเมืองชิราคาวะที่ดีไซน์ใหม่ให้หน้าตาน่ารักตะมุตะมิเสียเหลือเกิน ราคาก็เป็นมิตร 500 เยน และที่สำคัญแต่ละวัตถุดิบนั้นก็มีความหมายแฝง


รสแกงกะหรี่ = ช่วยเพิ่มพูนพลังเรื่องเงินทอง
หมูทอดคัตสึ = ช่วยเพิ่มพลังชนะ เพราะในภาษาญี่ปุ่น “คัตสึ” พ้องเสียงกับคำว่า คัตสึ (勝) ที่แปลว่า ชนะนั่นเอง
มะเขือเทศ = เพิ่มโชคเรื่องความรักและความโชคดี
กินแล้วได้เพิ่มโชคครบทุกมุมทุกเหลี่ยมทุกด้านเลยทีเดียวเชียว


นอกจากหน้าตาและความหมายแล้ว รสชาติก็อร่อยเด็ด หมูทอดคัตสึชิ้นหนานุ่มไม่เหนียวเลยชุมแป้งทอดกรอบๆ ประกบด้วยมะเขือเทศและชีสที่เข้ากันดีสุดๆ ด้านล่างปูด้วยกะหล่ำปลีที่ช่วยเพิ่มน้ำเวลาเคี้ยวไม่ทำให้ฝืดคอ และที่สุดของความอร่อยในเมนูนี้ก็คือ ซอสแกงกะหรี่ที่ทำหน้าที่เป็นทูตสันถวไมตรีเป็นอย่างดีของเมนูได้ดีมาก เป็นมิตรกับทุกสิ่ง เข้ากันกับทุกอย่าง กว่าจะรู้ตัวก็กินจนหมดเกลี้ยง

ขอบคุณพี่ยูมิผู้สละเบอร์เกอร์ชิ้นนี้ให้กินอย่างอิ่มหมีพลีมันโดยสมบูรณ์


หลังจากเติมพลังให้กระเพาะที่ว่างเปล่าไปได้สำเร็จ สถานีต่อไปของพวกเราก็คือ
\ ร้านราเม็ง ง ง ง ง ง ง /

ราเม็งเป็นเมนูท้องถิ่นชื่อดังอีกอย่างของจังหวัดฟุกุชิมะ ชื่อราเม็งก็จะแตกต่างกันไปตามพื้นที่นั้นๆ เช่น เมืองคิตะคะตะ ก็จะเป็นคิตะคะตะราเม็ง เมืองโคริยามะ ก็จะเป็นโคริยามะราเม็ง และนี้ก็ได้เวลาของ ราเม็งแห่งเมืองชิราคาวะ

“ชิราคาวะราเม็ง” ราเม็งน้ำดำที่ทำเป็นเข้ม แต่รสชาติกับอ่อนโยนละมุนลิ้นแถมไม่เลี่ยนเลย

ร้านที่เรามากินก็คือ “ร้านอาสุมะโชะคุโด” (Azuma Shokudo)


เฮือก!!!!
เวลานี้อาจเป็นเวลาดี ทุกคนหิวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

คิวยาวออกมานอกร้านเลยทีเดียวเชียว
อาศัยจังหวะแหวกมหาชน ไปบรรจงเขียนชื่อและจำนวนคนที่กระดาษเขียนคิว แล้วเขยิ๊บเขยิบออกมารอข้างนอก

คนกินอิ่มแล้วออกมา คนหิวท้องกิ่วก็เดินเข้าไป
เป็นการสลับตำแหน่งที่งดงาม ยังกับเตรียมกันไว้

รอไปสักพักก็ได้เข้าไปในร้าน…
ตรงทางเข้ามีตู้กดคูปองให้เราเลือกกดคูปองอาหารและเครื่องดื่ม กดเสร็จแล้วก็ถือคูปองเอาไว้ รอเขาเรียกชื่อเรา ยกมือพร้อมมอบคูปองให้เขา จากนั้นเขาก็จะพาเราไปที่โต๊ะ จากนั้นก็นั่งรอราเม็งร้อนๆ มาเสิร์ฟค่ะ


ใช่แล้วค่ะ… ไม่มีภาษาอังกฤษเลย ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย Gxxgle Translate และแอพพลิเคชั่นอื่นๆ ช่วยคุณได้แน่นอน ถ้าหากไม่มั่นใจหรือต้องการความช่วยเหลือพนักงานของร้านส่วนใหญ่ก็จะอยู่บริเวณนั้น ส่งสัญญาณและสายตาขอความช่วยเหลือไปได้มาแน่นอนค่ะ



เมนูมื้อเที่ยงของวันนี้ก็คือ “โชยุราเม็งวันตัน” ราเม็งเพิ่มเกี๊ยวลงไปด้วย เส้นราเม็งค่อนข้างหนาและเป็นลอนหยัก ยิ่งทำให้น้ำซุปเกาะบนเส้นได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ





เมื่อชาร์จพลังจนเต็มแม็กก็ไปเที่ยวต่อ
ที่เที่ยววันนี้เกาะกลุ่มไม่ไกลกันเลย นั่งรถแป๊ปๆ ก้นยังไม่ทันหายร้อนก็ถึงแล้ว
ใช้เวลาเดินทางจาก A ไป B เพียง 5 – 10 นาทีเท่านั้น

หลังรับประทานอาหารถ้าได้กาแฟสักถ้วยมาล้างปากก็คงจะดี อิอิ
สถานที่ต่อไปก็คือ “SHOZO SHIRAKAWA”


ร้านกาแฟสัญชาติโทจิกิที่มาเปิดสาขาที่ชิราคาวะ ให้ชอบกาแฟคั่วเข้มแนะนำเลยค่ะ หอมและกลมกล่อมมากค่ะ เข้มแต่นุ่ม รสชาติไม่ค่อยรุนแรงค่ะ


ตอนแรกก็ตั้งใจจะดื่มแค่กาแฟ ทว่าเค้กที่อยู่ในตู้กลับกวักมือเรียกให้มาชิมฉันที ทนไม่ไหวจึงพาน้องหนีออกมาจากตู้


ได้ดื่มกาแฟเย็นๆ กินขนมหวาน ใต้ร่มเงาต้นไม้ รับลมเย็นสบายๆ แกลมด้วยไอแดดอุ่นๆ นิดหน่อย ชวนให้เคลิ้มไปกับบรรยากาศเสียจริง


ถ้าใครไม่ชอบอากาศร้อนที่นี่ก็มีห้องแอร์ให้ไปตากแอร์เย็นๆ ด้วย

เมี่อเติมพลังก็เดินผ่านบ่อนันโกะ เห็นคนพายเรือให้บ่อก็น่าสนุกไม่น้อย

เดินเลียบร่มไม้ใบหญ้าไปก็ถึง “สวยซุยราคุเอ็น” (Suirakuen) สวนสวยสไตล์ญี่ปุ่นที่กรุ่นกลิ่นอายประวัติศาสตร์



ที่นี่มีค่าเข้า ซื้อตั๋วที่จุดจำหน่ายด้านหน้าทางเข้าได้เลย ราคาตั๋วมี 2 แบบ คือ แบบเข้าชมสวนเดินเล่นเบาๆ กับเข้าสวนพร้อมเข้าไปดื่มชาในเรือนโชราคุเท มาทั้งทีก็ขอลองดื่มชาญี่ปุ่นพร้อมขนมวากาชิด้วยเลยดีกว่า


สวนแบบญี่ปุ่นที่จะมีเส้นทางหินปูให้เดินรอบสวน ต้นไม้ใหญ่ที่ให้อาศัยเงาหลบแดดค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นต้นสนและไม้พุ่มเล็กๆ เพื่อแน่นไปที่ภูมิทัศน์อันงดงามเมื่อมองจากเรือนโชราคุเท





ฤดูนี้แอบมีดอกลิลลี่นิดหน่อยช่วยชูความสดชื่น กลิ่นหอมของดอกลิลลี่โดดเด่นจนเผลอคิดไปว่ามีหลายต้น


เดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดินหินจนถึงเรือนโชราคุเทสำหรับทำกิจกรรมดื่มชาญี่ปุ่น


ประตูไม้ค่อยๆ เลื่อนออก เหล่าพนักงานโค้งทักทายตามแบบฉบับญี่ปุ่น ทว่าทักทายด้วยเสียงนุ่มนวลและเป็นมิตร คุณน้าพนักงานหน้าตาดูใจดีพาไปยังห้องของพวกเราเพื่อดื่มชา
วิวที่ได้เห็นผ่านกระจกใสใบใหญ่สวยจนสะกดสายตาให้ชมแบบไม่อยากขยับไปไหน อากาศในเรือนสไตล์ญี่ปุ่นที่เย็นฉ่ำด้วยแอร์คอนดิชั่น



ช่วงเวลานั้นทำให้ฉันตระหนักได้ว่า “ฉันยังละความเป็นเมืองไม่ได้สินะ ฉันยังโหยหาอากาศเย็นฉ่ำจากแอร์คอนดิชั่นอยู่”
กว่าจะรู้ตัวก็เหมือนร่างกายถูกตรึงไว้กับเสื่อทาตามิ จนยากที่จะขยับไปไหน
อากาศข้างนอกร้อนจนโหดร้ายเสียเหลือเกิน TT^TT

ได้นั่งพัก ตากแอร์ ชมวิวไปนิดหน่อย คุณน้าพนักงานก็เอาชาและขนมวากาชิมาเสิร์ฟ


การลุกขึ้นมาหลังจากร่างกายถูกตรึงไว้นั้นช่างเป็นเรื่องยากลำบาก เสียงข้อต่อกระดูกตั้งกรอบแกรบ สัมผัสได้ถึงความตึงของกล้ามเนื้อต่างจากสีหน้าของคุณน้าที่ยิ้มแย้มผ่อนคลาย
ลักษณะที่โดดเด่นของขนมวากาชิ ก็คือ รูปทรงตะมุตะมิ ขนาดพอคำทำเป็นสัญลักษณ์ของฤดูนั้นๆ และรสชาติที่หวานเจี๊ยบจนตกใจ ซึ่งก็เหมาะกันดีกับรสชาติชาเขียวมัทฉะรสเข้มข้นจนขมเลยก็ว่าได้
ครั้งนี้พี่ยูมิก็ได้เสียสละชาและขนมวากาชิอันล้ำค่าให้ฉันอีกครั้ง ได้ดื่มด่ำกับรสชาตินี้ได้โดยสมบูรณ์แท้ๆ
ค่อยๆ จิบชาและขนมอย่างช้าๆ ชมวิวที่อยู่เบื้องหน้าช่างเป็นช่วงเวลาที่อยากจะหยุดเอาไว้


ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงนั่งโง่ๆ ไม่ทำอะไร มองต้นไม้ใหญ่ที่ไหวไปตามลม
คุณน้าพนักงานบอกว่า ฤดูที่สวยมากๆ ของที่นี่คือ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว
ขนาดฤดูร้อนยังสวยขนาดนี้ ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวคงไม่ไปไหนแน่ๆ เลย

ภารกิจวันนี้ยังไม่หมด ขอหยุดเวลาไว้ที่นี่ก่อนจะไปสถานที่ถัดไป
โปรแกรมอัดแน่นยิ่งกว่ากิจกรรมของเมืองไทEประกันชีวิM

ขอพักประเดี๋ยวหนึ่งแล้วค่อยออกเดินทางกันต่อนะ…..