BLOG

บทความ

Summer Vibe ((ว้าย)) in Fukushima ตอนที่ 3

Summer Vibe ((ว้าย)) in Fukushima ตอนที่ 3

หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยชาร์จพลังเต็มสูบ
เผลอประเดี๋ยวเดียวก็จวนเจียนจะสี่โมงเย็นเสียแล้ว
โปรแกรมวันนี้ยังเหลืออีก 2 ที่ o_o

เดินออกจากสวนไปนิดหน่อยจะเจอกับศาลเจ้านันโกะ (Nanko Park) ศาลเจ้าที่สถิตของที่สถิตของซาดะโนบุ มัตสึไดระ (Sadanobu Matsudaira) เจ้าเมืองชิราคาวะ ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้ผู้คนมักมาขอพรในเรื่องของความรัก 🤍



ฮัชช่า! สายมูต้องมาละ


บรรยากาศศาลเจ้าขลังจนชวนขนหัวลุก ทั้งๆ ที่ฟ้ายังสว่างโล่ ทว่ากลิ่นดินกลิ่นสนชื้นๆ และป่าสนทึบเป็นฉากหลังของศาลเจ้าและเสาโทริอิสีแดง รูปปั้นหินเทพจิ้งจอกยิ่งสร้างบรรยากาศให้จินตนาการไปไกล



สะบัดความคิดที่กำลังฟุ้งซ่านในหัวพร้อมเดินออกมายังทางเดินหลัก ก่อนที่ความคิดจะกระจัดกระจายไปมากกว่านี้

เดินย้อนกลับมาหน้าศาลเจ้ามีร้านขายเครื่องรางมีให้เลือกมากมายละลานตาไปหมด



ใกล้ๆ ทางออกมีเสียมซี หรือโอมิกุจิให้ได้เสี่ยงทายด้วย แถมในซองยังมีลูกแก้วจิตวิญญาณอยู่ด้วย..สุดยอด!!!


โชคชะตาคือเรื่องของอนาคต ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตไปก่อนละกัน
ระหว่างทางกลับไปที่รถก็โดนบ้านและบรรยากาศของสวนดึงดูด ทางเข้ามีหญ้าขึ้นหรอมแหลมเล็กน้อย มีรถสีเหลืองจอดอยู่ไม่รู้ว่าเป็นรถจริงหรือพร็อพ พอดูป้ายข้างหน้าถึงได้รู้ว่าที่นี่คือคาเฟ่ และยังเปิดอยู่ จึงถือโอกาสนี้เดินเข้าไป


เมื่อเลื่อนประตูออก ตู้เค้กตั้งตรงกับประตูสะดุดตา ยืนละล้าละลังอยู่หน้าตู้เค้ก คุณพนักงานก็เดินออกมาและถามไถ่ว่ารับอะไรดีค่ะ


‘ถ้ากินเค้กตอนนี้ก็คงจะหนักไป เมื่อกี้เพิ่งกินขนมวากาชิมาเอง’ ((ได้แต่คิดในใจอย่างแผ่วเบา))
เห็นป้ายเมนูซอฟต์เสิร์ฟวางอยู่แถมยังใช้แยมบลูเบอร์รีที่ทำเองด้วย น่าสนใจยิ่งนัก จัดไปอย่าให้เสีย
ระหว่างที่รอไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟก็เดินดูของกระจุกกระจิกน่ารักรอบๆ ร้าน น่ารักน่าซื้อไปหมด เรียกได้ว่าถูกจริต ระหว่างที่กำลังโดนล่อลวงตกอยู่ในภวังค์ เสียงเรียกจากพนักงาน หรือเจ้าของร้านก็มิอาจรู้ได้ก็ดังขึ้น




ซอฟต์เสิร์ฟหน้าตาน่ารักมากๆๆๆๆๆๆ มีพายกรอบรูปตะเกียงด้วยอย่างน่ารักเลย สมกับชื่อร้านมาโฮโนะแลมป์ (Magic Lamp Patisserie)


มาโฮ (魔法) ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง เวทย์มนต์ มาโฮแลมป์ = ตะเกียงวิเศษนั่นเอง นี่เองจึงเป็นที่มาของพายกรอบบนซอฟต์เสิร์ฟค่ะ

รับซอฟต์เสิร์ฟมาก็มองหาที่นั่งเพื่อรับประทาน พนักงานบอกว่าที่นี่ไม่มีที่นั่งเป็นแบบ Take-out เท่านั้น เดินออกไปขวามือจะมีอาคารอีกหลังหนึ่งเข้าไปกินที่นั่นได้ เป็นคาเฟ่เดียวกัน


อาคารสีชมพูขาวสีอ่อน ภายนอกสีเริ่มหลุดลอกไปบางส่วนเห็นเนื้อไม้ข้างใน ประตูที่ยังคงใช้ลูกบิดแบบเก่า ขณะจับลูกบิดแล้วค่อยๆ แง้มประตูออกมา มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูออกมานิดหน่อย พนักงานของร้านเป็นคุณลุงดูมีอายุหน่อย ผมขาวเห็นได้ชัด แต่รู้สึกถึงความเท่ พี่ยูมิและคุณลุงสนทนากันและได้ความว่า กินในร้านไม่ได้จ้า ถ้ากินที่ร้านต้องซื้อขนมของร้าน


พวกเราเลยตัดสินใจเดินออกมาอย่างเงียบๆ ก่อนลากันได้ก้มโค้งเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอบคุณ

เดินไปกินไปแผล็บเดียวก็เกลี้ยงไม่เหลือ
ขณะนี้เป็นเวลา 16.20 น. สถานีถัดไปที่เราจะไปปิด 17.00 น. จากที่นี่ไปไม่ไกลกันมากนักขับรถ 5 นาทีก็ถึงแล้ว

DARUMA LAND แค่ชื่อก็กินขาด อาณาจักรของคนชอบตุ๊กตาดารุมะ เมืองชิราคาวะมีชื่อเสียงในเรื่องของตุ๊กตาดารุมะของตัวเอง เรียกว่า “ชิราคาวะดารุมะ” (Shirakawa Daruma) ซึ่งมีลักษณะโดดเด่นไม่เหมือนใคร หากสังเกตดูดีๆ ที่ใบหน้าของตุ๊กตาชิราคาวะดารุมะในแต่ละส่วนมีของมงคลของญี่ปุ่นซ่อนอยู่


คิ้วรูปนกกระเรียน หนวดเป็นเต่า ทั้งสองข้างของใบหน้าคือสนและบ๊วย ด้านล่างปากเป็นต้นไผ่ ในญี่ปุ่นเชื่อกันว่าการวาดนกกระเรียนและเต่าเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของการมีอายุยืนยาว สน ไผ่และบ๊วยเป็นสิ่งมงคล สิ่งเหล่านี้จึงเหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ

เมื่อเราเดินทางไปถึงข้างนอกอาคารเงียบจนไม่แน่ใจว่ามาถูกที่หรือเปล่า


เมื่อกดประตูบานเลื่อนอัตโนมัติก็เปิดออก ไม่มีใครอยู่ในนี้เลย !!!!!

ภาพที่เห็นช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก
ตุ๊กตาอากะเบโกะหัวไปทางตัวไปทาง
หัวโดนเสียบแล้วห่อยลงมาจากเพดานก็มี

คุณพระ!!!



ไม่ต้องตกใจไป นี่ไม่ใช่ฉากในหนังฆาตกรรมแต่อย่างใด
นี่คือ ภาพขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ของตุ๊กตาอากะเบโกะก่อนจะเป็นตุ๊กตาอากะเบโกะแสนน่ารักที่เราซื้อกลับมาเป็นของฝาก

เมื่อเดินผ่านอาคารจัดแสดงไป ด้านหลังก็มีศาลเจ้าดารุมะให้ได้เข้าไปขอพรด้วย โครงสร้างอาคารศาลเจ้ามีความทันสมัยอยู่ไม่น้อย



ตรงข้ามศาลเจ้ามีร้าน “SHIFUKU” (ชิฟุคุ) ของหวานที่ทำจากผลไม้ให้ดื่มดับกระหายค่ะ
ทั้งน้ำแข็งไสและน้ำปั่นสมูทตี้


นั่งกินเพลินๆ กว่าจะรู้ตัวก็จะห้าโมงเสียแล้ว เลยรีบวิ่งแจ้นไปซื้อของฝากที่ใน DARUMA LAND
โอ้โห… นี่มันอาณาจักรแห่งดารุมะจริงๆ ด้วย มีดารุมะเพียบ



กว่าจะออกจากที่นั่นก็ห้าโมงเศษๆ แล้ว แต่แสงอาทิตย์ยังคงเจิดจรัสฟ้ายังสว่างไสว ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่ากี่โมงแล้ว นี่แหละเสน่ห์ของฤดูร้อนที่เย็นแล้วก็ยังไม่มืด

ได้เวลาออกตัวจุดหมายปลายทางของวันนี้ก็คือที่พักค่ะ
คืนแรกในจังหวัดฟุกชิมะเราจะไปพักกันที่เกสเฮาส์เท่ๆ ในย่านบันไดอาตามิ ย่านออนเซ็นอีกแห่งของฟุกุชิมะ จังหวัดนี้รวยออนเซ็นจริงๆ ใครชอบออนเซ็นมาตะลอนทัวร์ออนเซ็นก็น่าสนใจดีนะคะ

จากจุดนี้ขับรถไม่ขึ้นทางด่วนใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ค่ะ คาดเข็มขัดให้พร้อมแล้วออกตัวกันเลยค่ะ
ระหว่างทางพี่ยูมิขับรถผ่านถนนท้องถิ่น ให้ความรู้สึกประมาณขับรถทางหลวงเลียบไปตามบ้านชาวเมือง สลับกับป่า ท้องทุ่ง ไร่นา บ้านไปเรื่อยๆ ทำให้ได้เห็นวิวที่หลากหลาย ต่างจากทางด่วนที่จะเป็นวิวอีกแบบหนึ่ง
ใครที่ไม่รีบอยากค่อยๆ ขับรถกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ ละก็ลองเลี่ยงทางด่วน แล้วมาทางธรรมดา ค่อยๆ ใช้เวลาช้าๆ ดื่มด่ำไปกับสิ่งที่อยู่รอบๆ บางครั้งก็ช้าบ้างจะเป็นไรไปล่ะ


ชมวิวไปเรื่อยๆ เผลอแผล่บๆ ก็ถึงที่พักเฉยเลย





ที่พักของเราในวันนี้ก็คือ “ออนเซ็นเกสเฮาส์ ยุโคริ” จากสถานีรถไฟ JR Bandai Atami เดินประมาณ 20 ก้าวก็ถึงแล้วค่ะ


พวกเราลากกระเป๋าเข้าไป ทุกคนของที่นี่ต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเป็นมิตรมากๆ ((ก. ล้านตัว)) บรรยากาศดีมาก เมื่อเช็คอินสตาฟก็มาอธิบายเกี่ยวกับห้องอาบน้ำ ออนเซ็น ประตูเข้าประตูออก คุยโน้นนั่นนี่ก็ปาเข้าไป ทุ่มกว่าแล้วค่ะ จู่ๆ ก็ต้องรับขึ้นมาเพราะร้านอาหารแถวนั้นปิดสองทุ่ม ไปค่ะ เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บที่ห้องแล้วเดินแบบพุ่งตัวให้เร็วที่สุด สาวเท้าให้ไกลที่สุดค่ะ


เมื่อไปถึงร้านอาตามิโชะคุโด (Atami Shokudo) ก็ได้เกิดเรื่องสะเทือนใจเกิดขึ้น ร้านบอกว่าปิดแล้วหมดแล้วจ้า ทว่าสีหน้าที่เศร้าสร้อยของพวกเราที่ออกมาอย่างเห็นได้ชัดทำให้เจ้าของร้านรั้งพวกเราเอาไว้ แล้วบอกว่า ซุปหมดถ้าเป็นเมนูข้าวยังพอมีนะจ๊ะ


ได้เลยไม่มีปัญหา ขอแค่ได้กินเพียงได้ยินก็สุขใจแล้ว
นั่งลงที่โต๊ะพร้อมเลือกเมนูเป็นชุดผัดสุตะมินะและผัดตับกุยช่าย





รอไปสักพักหนึ่งอาหารก็มาเสิร์ฟ ปริมาณแน่นๆ รสชาติเน้นๆ ยอดเยี่ยมมากเลย
ข้าวอร่อยมากๆ ไม่รู้ว่าเพราะน้ำหรือพันธุ์ข้าวหรือแท้จริงแล้วคือ การรวมพลังของทั้ง 2 อย่างนี้กันแน่

กินข้าวหมดชามแบบไม่ต้องสงสัย

เมื่อท้องอิ่มก็ได้เวลาเดินย่อย พวกเราเดินกลับที่พักด้วยกัน เวลานี้ในเมืองมืดสนิทและเงียบสงบ ลมพัดเย็นสบาย เพราะไม่มีพระอาทิตย์มากวนใจแล้ว


แสงไฟจากเสาไฟส่องแสงสว่างไสวนำทางเราไปถึงที่พัก


ได้เวลาชมห้องของเราในคืนนี้แล้ว


ห้องนอนสำหรับ 2 คน มีเบาะฟูกวางเอาไว้ให้ ในห้องมีห้องส้วม อ่างล้างหน้า ห้องอาบน้ำต้องไปใช้ห้องอาบน้ำข้างนอกที่มีห้องอาบน้ำแบ่งเป็นสัดเป็นส่วน หรือใครอยากแช่ออนเซ็นก็เชิญแช่ตามความชอบเลยค่ะ


วันนี้ก็ขอปิดไฟเข้านอน
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรหนอ
นี่เพิ่งผ่านมาแค่ 1 วันเองนะ

ฝันดีราตรีสวัสดิ์…